มูดี้ส์มองเศรษฐกิจไทย ‘Negative’ สัญญาณเตือน

30 เม.ย. 2568 - 07:15

  • ประเมินเศรษฐกิจไทย หลังมูดี้ส์ประเมินสถานะเศรษฐกิจไทย

  • ส่งสัญญาณเตือนความมั่นคงในการบริหารนโยบายการเงิน

  • เหลืออีก 2 บริษัทประเมินรายใหญ่ อาจอ้างอิงจากมูดี้ส์ในการประเมินรอบใหม่

economic-business-thai-moody-negative-rating-SPACEBAR-Hero.jpg

กอบศักดิ์ ภูตระกูล นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาค การเงิน และตลาดทุนและกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพได้เสนอข้อมูลและแนวทางกรณี Moody’s ปรับสถานะประเทศไทยเป็นเชิงลบ ผ่านโพสต์ในเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/kobsak มีเนื้อหาน่าสนใจดังนี้

ถอดรหัส Moody’s เกี่ยวกับประเทศไทย ข่าวที่ทุกคนสนใจเมื่อคืนนี้ คงไม่พ้นการลด Outlook ของไทยจาก Stable มาเป็น Negative ซึ่ง Moody’s เป็นเจ้าแรกใน 3 Ratings Agencies ใหญ่ของโลก ที่เริ่มนำร่องปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับไทย ในรอบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีนัยยะ เพราะสำหรับ Moody’s นั้น Negative Outlook เป็นก้าวแรก ที่อาจจะนำไปสู่การลด Rating ลงได้ในอนาคต เป็นการเตือนประเทศไทย

ส่วนอีก 2 เจ้าใหญ่ที่เหลือ คือ S&P และ Fitch Ratings การประกาศของ Moody’s จะเป็นการกระตุ้นให้อีกสองเจ้าต้องเริ่มกลับมาดูข้อมูลโดยละเอียดอีกรอบ และทบทวนว่าจะปรับเปลี่ยนมุมมองของไทยตามหรือไม่

ที่มีการปรับเปลี่ยนมุมมองหรือ Outlook ของไทย Moody’s ชี้แจงว่า มาจาก ‘risks that Thailand’s economic and fiscal strength will weaken further’

ความเสี่ยงที่สถานการณ์เศรษฐกิจและสถานะภาคการคลังของไทยอาจจะอ่อนแอลงไปกว่านี้ ซึ่งมาจาก นโยบาย Tariffs ของสหรัฐที่กำลังส่งผลกระทบต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าของโลก ที่จะกระทบต่อมาที่ประเทศไทยซึ่งพึ่งพาต่างประเทศมาก

นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนว่าหลังจากชะลอไป 90 วัน ไทยและประเทศต่าง ๆ จะโดนเก็บภาษีนำเข้าเท่าไรทั้งหมดนี้ จะซ้ำเติมปัญหาเดิมที่ไทยมีก่อนหน้าอยู่แล้ว คือ การที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ไม่ดีเทียบกับคนอื่น ๆ หลังจบปัญหาเรื่องโควิด และปัญหาการลดลงของศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่เราโตช้าลงเรื่อย ๆ

ที่ Moody’s กังวลใจก็คือ ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐในการส่งออก และจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ในการผลิตสินค้าของภูมิภาคหากเศรษฐกิจไทยโตช้าลงกว่านี้อีก จากความปั่นป่วนในเศรษฐกิจโลก จะส่งผลกระทบไปที่สถานะภาคการคลังที่อ่อนแออยู่แล้วตั้งแต่ช่วงโควิด ให้แย่ลงไปจากเดิม

ดังนั้น จึงให้มุมมอง Negative กับไทยแต่ที่น่าสนใจก็คือ การปรับลดเป็น Negative ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การลด Rating เสมอไป เป็นการเตือนว่า ‘จับตามองแล้วนะ’ และ ‘มีความเสี่ยง’

ในอดีต ช่วงวิกฤตการเงินโลก 2008 ก็เคยลด Outlook ของไทยเป็น Negative แต่เมื่อเราผ่านช่วงวิกฤตนั้นมาได้ 2 ปีให้หลังก็ปรับมาเป็น Stable อีกครั้งในรอบนี้เช่นกัน Moody’s บอกว่า Outlook เปลี่ยนได้ถ้าไทยสามารถขยายตัวได้สูงกว่าที่เขาคาดไว้ในใจอย่างต่อเนื่อง ที่จะช่วยให้สถานะการคลังไทยดีขึ้น หมายความว่า ถ้าเราขาดดุลการคลังได้น้อยลง และเป็นหนี้ภาครัฐต่อ GDP ลดลง จากเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่อง เขาก็จะกลับไปที่ Stable ได้

ขณะเดียวกัน Moody’s เตือนว่าNegative Outlook รอบนี้ อาจจะตามมาด้วยการลด Rating ในอนาคต ถ้าหาก

  1. เศรษฐกิจไทยอ่อนแอลงไปกว่านี้ ศักยภาพในการเติบโตลดต่ำไปกว่านี้ จากการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างในด้านต่างๆ รวมทั้งจาก ความปั่นป่วนในระบบเศรษฐกิจโลกจากนโยบายสหรัฐ
  2. หรือ 
  3. ภาระหนี้ของภาครัฐไทยยังเพิ่มต่อเนื่องในช่วงต่อไป ทั้งจากปัญหาภายนอกและภายในที่จะเข้ามากระทบทำให้ไทยโตไม่ได้ หรือจากความตึงเครียดขัดแย้งทางการเมืองที่กระทบต่อความสามารถในการดำเนินนโยบายของไทย

ทั้งหมด เป็นการเตือน และแจ้งว่า Moody’s กังวลใจมองอะไรอยู่ และเขาอยากเห็นอะไร

หน้าที่ของเราก็คือ เร่งแก้ไข ปรับปรุงตนเองซึ่งคงต้องทำ 3 เรื่อง

  1. ไม่ทำในสิ่งที่เขากังวลใจ
  2. เตรียมการให้เศรษฐกิจไทยผ่านมรสุมจาก President Trump ไปได้ พยายามลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
  3. มุ่งสร้างอนาคตที่แท้จริง เพราะสิ่งที่ Moody’s อยากเห็นจริงๆ คือ ศักยภาพในการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 3-4% เป็นอย่างน้อย ซึ่งหมายความว่า เราต้องเร่งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อย่างเป็นระบบ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะสร้างรายได้ที่แท้จริง เพิ่มศักยภาพการวิจัยของไทย แก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัยที่เป็นโซ่ถ่วงประเทศ และที่สำคัญสุดคือ แก้ไขเรื่องการพัฒนาคนของไทย

ทั้งหมดนี้ เราทำได้ ถ้าเราตั้งใจพอ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์