กอบศักดิ์ ภูตระกูล นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้าน นโยบายเศรษฐกิจมหภาค การเงิน และตลาดทุนและกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ ได้โพสต์เรื่องคลื่นถล่มลูกที่สอง จาก Reciprocal Tariffs ในเฟซบุ๊กเพจ Dr.Kob โดยเตือนว่ารอบนี้กระทบกับภาคเศรษฐกิจจริง
คลื่นถล่มลูกที่สอง จาก Reciprocal Tariffs !!!ภาคเศรษฐกิจจริง คือ กลุ่มต่อไป ทันทีที่สหรัฐประกาศ Reciprocal Tariffs เมื่อ 2 เมษายน ตลาดทุนคือด่านแรกที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ เนื่องจากเป็นภาคส่วนที่อ่อนไหวสุด รับข่าว เปลี่ยนแปลงได้ไวที่สุด เราคงจำกันได้ถึงช่วงที่ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ลดลงฮวบฮาบ แบบน่าใจหาย
บางวันมากกว่า 2,000 จุด ในระหว่างวันหลายคนบอกไม่เอาอีกแล้ว ไม่ลงทุนแล้วแต่สิ่งที่น่าสนใจสุด 1 เดือนให้หลังก็คือทุกอย่างได้กลับไปเกือบจุดเดิมโดยถ้านับจากช่วงวันก่อนประกาศ
Dow Jones ติดลบ -883.2 จุด หรือ -2.12% เท่านั้น
Nasdaq +377.1 จุด หรือ +2.18%
S&P 500 +23.6 จุด หรือ +0.40%
Bitcoin +12,405 ดอลลาร์ หรือ 14.66%
ส่วนราคาที่สะท้อนความเสี่ยงและความกังวลใจ
VIX อยู่ที่ 22.6 หรือ +0.99
USD กลับมาใกล้ ๆ 100 อีกครั้ง
ราคาพันธบัตรรัฐบาล 30 ปี มาอยู่ที่ประมาณ 116 ใกล้เคียงกับช่วงปลายเดือนมีนาคม
ทั้งหมด สรุปได้ว่าความผันผวนตลาดทุนรอบนี้ (ย้ำว่ารอบนี้) จบแล้ว
สามารถกลับมายืนได้ขอบคุณคำปรึกษาดีๆ ของ ท่านรมต. คลัง Bessent
ที่ช่วยให้ท่าน President Trump เพลา ๆ ลงบ้าง ไม่โหมทุบตลาดทุกวันให้ตลาดมีเวลาหายใจ ย่อยข่าวต่างๆ ยอมถอย ยอมช่วยสร้างข่าวดี ให้บางวัน และบวกการพูดดูแลตลาดทุนทุกวันของ Bessent
ทำให้ตลาดและราคาสินทรัพย์ต่างๆ กลับมาได้ ซึ่งก็หมายความว่า ท่านประธานาธิบดี Trump ก็จะเริ่มมั่นใจอีกรอบ พร้อมประกาศศึกกับคนถัดไป มีนโยบายใหม่ๆ ที่จะออกมาอีกรอบ ให้ทุกคนตื่นเต้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ ท่านประธานาธิบดี พร้อมที่จะรอ สามารถรอเพื่อกดดันประเทศต่างๆ ให้ได้ Great Deal สำหรับสหรัฐไม่ต้องเร่งหาข่าวดีมา Calm ตลาดอีกต่อไป
ขณะเดียวกัน ตลาดกลับมาได้ ไม่ได้หมายความว่า ผลกระทบจบ สถานีต่อไปที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ภาคธุรกิจ หรือภาคการผลิต ที่กำลังรับผลของความปั่นป่วนนี้ข่าวล่าสุด ชี้ว่า เรือลำสุดท้ายที่ออกมาก่อน 9 เมษายน ได้เข้าเทียบท่าสหรัฐแล้ว
โดยหลังจากนี้ต่อไป สินค้าในเรือจากจีนที่เข้าท่าสหรัฐ จะถูกเริ่มคิดภาษีใหม่ที่ 145%
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะใน Executive Order บอกไว้ชัดว่า สินค้าที่ขึ้นเรือและเรือออกจากท่าแล้ว จะเก็บอัตราเดิม แต่ถ้าออกจากท่าหลังจากคำสั่งมีผล ณ วันที่ 9 เมษายน ก็จะโดนภาษีใหม่
เจ้าหน้าที่ท่าเรือ LA บอกว่า จากข้อมูลพบว่า ตู้สินค้าที่จะเข้าท่าในสัปดาห์หน้าจะลดลง 35% เทียบกับ 1 ปีก่อนหน้า !!! มีข่าวแจ้งว่า มีเรือจอดนิ่งอยู่ที่ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะเรือลำใหญ่
ผู้ประกอบการขนสินค้าทางเรือบอกว่า เราจะไม่ออกเรือ ถ้าเรือมีสินค้าแค่ครึ่งลำ
บางคนเลือกขนส่งด้วยเรือลำเล็กลงหลาย ๆ ลำ จอดเรือรอที่ชายฝั่ง รอให้มี Deal กันได้ระหว่างจีนและสหรัฐ
ท่าเรือ New York และ New Jersey บอกว่าท่าเรือจะเงียบลง โดยเฉพาะจากจีน แต่จะมีเรือและสินค้าจากอาเซียนมาเพิ่ม
นอกจากนี้ Temu ประกาศว่าเมื่อวานว่า ต่อไปนี้ Platform Temu จะไม่ขายสินค้าตรงจากจีนให้ลูกค้าในสหรัฐ จากการที่สหรัฐปิดช่องโหว่ของการนำเข้าสินค้าราคาต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ ที่ประกาศออกมาพร้อมกัน
เรื่องนี้ จะกระทบการขนส่งทางเรือมากยิ่งขึ้น เพราะจากตัวเลขของ US Customs and Border Protection ชี้ว่า 92% ของตู้สินค้าที่เข้าสหรัฐเป็นสินค้ากลุ่มนี้ ที่ราคาต่ำกว่า 800ทั้งหมด หลังจากนี้ Tariffs จะส่งผลกระทบต่อ
(1) ผู้บริโภคในสหรัฐ ที่จะไม่มีสินค้า หรือสินค้าจะราคาแพงขึ้น
(2) ผู้ผลิตในจีน ล่าสุดมีข่าวว่า บางโรงงานต้องหยุดจ้างงาน ลดคนงานไปครึ่ง บางโรงงานตัดสินใจหยุดการผลิต บางโรงงานส่งสินค้าเกิน 50% ไปสหรัฐ แจ้งว่า ทุก Orders จากสหรัฐถูกยกเลิก และกำลังหาตลาดใหม่ใน ยุโรป และในประเทศอื่นๆ ซึ่งต้องใช้เวลา 2-3 เดือน บางบริษัทต้องหาช่องทางใหม่ ๆ ในการขาย เช่น การ Live สด ที่น่ากังวลใจ คือ บริษัทขนาดเล็กในจีน ที่มีทุนจำกัด มีสายป่านสั้น ปรับตัวไม่ได้
(3) ผู้ผลิตในประเทศอื่นๆ ช่วงแรกจะได้รับอานิสงค์จากการขายไปที่สหรัฐแทนจีน โดยเฉพาะช่วงที่ชะลอ 90 วัน ที่ Tariffs อยู่ที่ 10%แต่หลัง 90 วัน จะขึ้นกับรัฐบาลของประเทศตนเอง ว่าเจรจาแล้วได้อัตรา Tariffs เท่าไร ดีกว่า หรือ แย่กว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นคู่แข่งขันหลัก
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตสำหรับตลาดในประเทศ ก็คงต้องเตรียมรับมือสินค้าราคาถูกจากจีน ที่จะเข้ามาถล่มตลาดมากขึ้นหลังจากนี้
ทั้งหมดหมายความว่า คลื่นลูกที่สอง อันเป็นผลกระทบจาก Reciprocal Tariffs กำลังมา
เราคงต้องเตรียมการตั้งรับ เพื่อหยิบฉวยโอกาสที่เปิดขึ้น จากตลาดสหรัฐที่อยู่ๆ ก็ไม่มีสินค้าจีนเข้าไปถึง 4 แสนล้านดอลล่าร์ ต่อปี และจากตลาดจีนที่ ไม่มีสินค้าสหรัฐเข้าไปประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน ก็ต้องเตรียมรับมือสินค้าที่จะวนมาที่เราแทน
ถ้าเราเตรียมการดี เราก็จะผ่านคลื่นลูกนี้ไปได้
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ