IRPC ประกาศกลยุทธ์ปี 2567 แตกไลน์ธุรกิจหลักเดินหน้า 5 Future Business รีไซเคิลพลาสติก-โรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Health&Wellness) เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี 2060

กฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ จากปัจจัยเศรษฐกิจโลก โดยคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ไทยปี 2566 จะเติบโตที่ 2.8 % ขณะที่ปี 2567 คาดการณ์จะโตต่ำกว่าปีนี้ ที่ราว 2.5% เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักถึง 60 % ของ GDP
โดยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของ IRPC บริษัทมีกำไรสุทธิ 494 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับธุรกิจปิโตรเคมีที่ดำเนินการมาในอดีต เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ผันผวน สำหรับ ราคาน้ำมันดิบดูไบ (ณ 7 ธ.ค.66) ลดลงมาเหลือ 75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยมีการคาดการณ์มาก่อน
โดยหลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน อย่าง โอเปกพลัส ลดกำลังการผลิตน้ำมันเมื่อช่วงปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา แต่กลับพบว่า ตลาดก็ไม่ได้ขานรับ ราคาน้ำมันไม่ได้ดีดตัวสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันโลกกลับลดลง
IRPC จึงได้เตรียมความพร้อมรับความผันผวนที่เกิดขึ้น โดยธุรกิจเดิม อย่าง โรงกลั่น และปิโตรเคมี ก็ยังคงเดินหน้าต่อ แต่ได้มีการต่อยอดยกระดับจากธุรกิจเดิม เพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น โดยบริษัทฯ ได้วางแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง
ปี 2567 ได้วางกลยุทธ์แตกไลน์เดินหน้า 5 Future Business ได้แก่
1.Health & Life Science (Filtration) เช่น แผ่นกรองอากาศในเครื่องกรองอากาศ อุปกรณ์กรองน้ำในเครื่องกรองน้ำ รวมถึง วัสดุกรองในหน้ากากอนามัย และ หน้ากาก N95 เป็นต้น ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้จะเติบโตตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่รักสุขภาพมากขึ้น ขณะนี้อยู่ในช่วงของการเจรจากับทางพาร์ทเนอร์
2.Advanced Materials วัสดุที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การมองหาโอกาสในการขุดแร่ Lithium ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่ง IPPC มีพาร์ทเนอร์รายหนึ่งที่สามารถสำรวจเหมืองเก่าในประเทศไทยในภูมิภาคต่างๆ ซึ่ง เหมืองเก่าบางแห่งยังมี แร่ Lithium ซึ่งโปรเจคนี้อยู่ในช่วงการพิสูจน์ทราบว่า แร่ที่ค้นพบจากคุ้มต้นทุนหรือไม่ สำหรับการดำเนินการในเชิงพาณิชย์ ซึ่งกระบวนการค่อนข้างยาก จึงต้องใช้เวลาในการศึกษา และต้นทุนสูง แต่หากสามาถทำได้ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการตั้วต้นผลิตรถไฟฟ้าจาก แร่ Lithium
3.Green & Circular (Recycling businee) อย่าง การรีไซเคิลพลาสติก ซึ่งปัจจุบันไทยมีกระบวนการใช้การรีไซเคิลพลาสติกแบบ ขวด PET เรียบร้อยแล้ว และมีตลาดรองรับ โดย IRPC มองหาโอกาสในการรีไซเคิลตัวพลาสติก PP หรือ Polypropylene ซึ่งขณะนี้ IRPC มีเทคโนโลยีที่จะเข้ามาแยกสีออกจากเนื้อพลาสติกจากตัวถุงพลาสติก แต่กำลังมองหาศักยภาพของกลุ่ม Start-up ที่จะสามารถแยกประเภทของพลาสติกประเภทต่างๆได้ในเชิงพาณิชย์ หากสามารถเกิดขึ้นได้จริง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเชิงธุรกิจได้ในปีหน้า

กระบวนการในการแยกสีมันออก ให้เหลือแต่พลาสติกอย่างเดียว ในอดีตไม่มีเทคโนโลยี ตอนนี้เราเจอและกำลังพัฒนา โดยทาง IRPC จะเป็นตลาดรับซื้อ PP (Polypropylene)ให้กับ Start-up ที่มีศักยภาพ ซึ่งโปรเจคนี้จะเกิดก่อนเลยใน Future Business 5 ตัวนี้
กฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC
สำหรับประเทศไทยปัจจุบันใช้พลาสติก หรือ Polypropylene ปีละ 1.4 ล้านตัน แต่ไม่มีการนำกลับมาใช้ใหม่ ทาง IRPC จึงตั้งเป้ารีไซเคิลที่ 2-3 แสนตันต่อปี โดยธุรกิจนี้จะนำมาซึ่งการปลดปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของประเทศไทย เพื่อบรรลุเป้าหมายและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี 2060
4.Future Energy (Floating solar) การติดแผงโซลาร์เซลล์บนผืนน้ำ ปัจจุบัน IRPC มีอยู่ประมาณ 21 เมกะวัตต์ และจะมีการขยายศักยภาพมากขึ้นในปี 2567 รวมถึงจะดำเนินการ Solar rooftop ด้วย โดยตั้งเป้าการผลิต Solar ทั้งระบบที่ 40 เมกะวัตต์ และหากเหลือก็จำหน่ายไปยังส่วนกลาง เพราะ IRPC มีสัญญา PPA (Power Purchase Agreement) ซื้อขายไฟฟ้าเข้าส่วนกลาง ได้ 45 เมกะวัตต์
5.Asset & Services (Hospital & wellness center) โดย IRPC ร่วมกับ รพ.บางปะกอกและรพ.ปิยะเวท ศึกษาการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Health&Wellness) ในที่ดินบริษัทฯพิกัดตรงข้ามศูนย์ราชการจ.ระยอง เพื่อหวังยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชนในพื้นที่ จ.ระยอง และจังหวัดใกล้เคียง
แต่โครงการนี้ ต้องการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และ EHIA จึงอาจจะใช้เวลาในการศึกษาอีกสักระยะ โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รพ.บางปะกอกและรพ.ปิยะเวท รุกธุรกิจออกมาจากพื้นที่กทม.ซึ่งคาดว่าน่าจะทราบผลว่าจะออกมาจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ในปี 2567

โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เผยว่า ขณะนี้แผนธุรกิจคณะกรรมการบริษัท เห็นชอบแล้วโดยวันที่ 19 ธ.ค.นี้ บริษัทจะมีการเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเม็ดเงินลงทุนปี 2567 และเม็ดเงินลงทุน 5 ปี พร้อมเผยว่าในไตรมาส 3 ปี 2567 จะมีการลงทุนขนาดใหญ่อีกด้วย
สำหรับก่อนหน้านี้ บริษัทฯก็ได้ สร้างความแข็งแกร่งต่อยอดจากธุรกิจหลัก (Core Uplift) ได้แก่
1.ธุรกิจปิโตรเลียม (Domestic first) ซึ่งจะดำเนินการขยายระบบโลจิสติกส์ขนส่งน้ำมันทางท่อ โดยขยายคลังน้ำมันแห่งใหม่ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อความยาว 99 กิโลเมตร ร่วมกับ บริษัท กรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิง ทางท่อและโลจิสติกส์ จำกัด หรือ BFPL เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานภาคขนส่งในภาคกลางและภาคเหนือ
รวมทั้งโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและคุณภาพน้ำมันดีเซล ยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project หรือ UCF) ให้มีความพร้อมผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 หรือน้ำมันดีเซลที่มีกำมะถันต่ำ สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ภายใน 1 ม.ค.2567 ตามนโยบายของภาครัฐ
2. ด้านธุรกิจปิโตรเคมี (Specialty Boost) ออกแบบผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ “POLIMAXX”ได้แก่ เม็ดพลาสติก พีพี เมลต์โบลน (PP Melt Blown) สำหรับผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยที่มีคุณภาพ เม็ดพลาสติก HDPE 100-RC สำหรับผลิตท่ออุตสาหกรรมขนาดใหญ่
3.ธุรกิจท่าเรือและอสังหาริมทรัพย์ (Maximize Infrastructure & Asset Utilization) บริษัทฯ มีความพร้อมให้บริการท่าเทียบเรือน้ำลึกเพื่อขนถ่ายสินค้าทั้งภายในประเทศ รวมถึงยังได้พัฒนาพื้นที่ให้เป็นที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)
นอกจากนี้ ยังร่วมกับบริษัท เบเยอร์ จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบมาตรฐานโลกเป็นครั้งแรกของประเทศ ด้วยส่วนผสม Polytetrafluoroethylene (PTFE) ที่มีคุณสมบัติพิเศษมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง ช่วยยืดอายุการใช้งานโครงสร้างเหล็กถึงสามเท่า
รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและอาหารเสริมพืช “ปุ๋ยหมีขาว” ภายใต้เครื่องหมายการค้า “REINFOXX” เพิ่มอีก 4 สูตร เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ต่อผลผลิตและสิ่งแวดล้อม
พร้อมบูรณาการความยั่งยืนในการทำธุรกิจในหลายมิติ มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% ในปี 2030 บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ปี ค.ศ.2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี ค.ศ.2060 เร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ ปี ค.ศ. 2065