บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF โดย ยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงการเดินหน้าร่วมพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) ว่า
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้วางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) ให้มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยมีโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (“โครงการมาบตาพุด”) เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของแผนพัฒนา EEC ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด (“GMTP”) ได้จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการมาบตาพุดดังกล่าว โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) และบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 70 และ 30 ตามลำดับ โดย GMTP ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นระยะเวลา 35 ปี เพื่อดำเนินโครงการมาบตาพุด
บริษัทฯ ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ GMTP ได้มีมติอนุมัติให้โครงการเริ่มดำเนินการพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ภายใต้วงเงินลงทุนประมาณไม่เกิน 60,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2572
โครงการประกอบด้วยงานถมทะเลบนพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งแล้วเสร็จแล้วในเดือนมีนาคม 2568 และการพัฒนาท่าเทียบเรือและสถานี LNG บนพื้นที่ถมทะเลราว 200 ไร่ โดยสถานีแห่งนี้จะกลายเป็นสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวแห่งที่ 3 ของไทย ช่วยเสริมความมั่นคงพลังงานรองรับความต้องการใช้ก๊าซในภาคอุตสาหกรรมและไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น พร้อมเป็นการต่อยอดธุรกิจ LNG และไฟฟ้าในเครือ GULF อย่างครบวงจร
GULF ระบุว่า ลูกค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซในประเทศ รวมถึงบริษัทในเครืออย่าง หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง (HKH) และ กัลฟ์ แอลเอ็นจี (GLNG) ที่มีแนวโน้มนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับของภาครัฐ (Regulated Business) รายได้แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
- ค่าบริการต้นทุนคงที่ (Demand Charge) ครอบคลุมต้นทุนและผลตอบแทนจากการลงทุน
- ค่าบริการต้นทุนแปรผัน (Commodity Charge) สะท้อนต้นทุนที่ผันแปรตามปริมาณการให้บริการ ซึ่งต้นทุนทั้งหมดสามารถส่งผ่านให้ลูกค้าได้
ในแง่ข้อกำหนดการรายงาน GULF ระบุว่า การลงทุนครั้งนี้เข้าข่ายเป็น “รายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ประเภทที่ 2” เนื่องจากมีขนาดรายการรวมสูงสุด 20.11% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม ต้องเปิดเผยข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และแจ้งผู้ถือหุ้นภายใน 21 วัน
โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของ GULF ในการขยายธุรกิจพลังงานครบวงจร เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศเข้ากับภาคเอกชนอย่างมั่นคงและยั่งยืน