ธุรกิจสุกี้หม้อร้อนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เป็นเหมือนบทเรียนที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของผู้ที่อยู่ในธุรกิจนี้ MK สุกี้ครองตำแหน่งเจ้าสุกี้ไทยมายาวนาน ต้องปรับกลยุทธ์มาแย่งชิงกับคู่แข่งหน้าใหม่อย่างสุกี้ตี๋น้อย
ตัวเลขจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ภาพรวมตลาดสุกี้ และชาบูในปี 2568 มีมูลค่าสูงถึง 23,000-25,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ MK ยังคงนำด้วยรายได้ 15,809 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 1,441 ล้านบาท ขณะที่ตี๋น้อยที่เพิ่งก่อตั้งในปี 2564 สามารถสร้างยอดขาย 3,976 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 591 ล้านบาทได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี
MK สุกี้ คนเปลี่ยน ธุรกิจเปลี่ยน
สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัจจัยธุรกิจเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคเริ่มหันไปให้ความสำคัญกับราคามากกว่าภาพลักษณ์แบรนด์ ยอดขายของ MK ในไตรมาส 1/2568 ลดลง 10.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน สัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าต้องปรับกลยุทธ์
การเปิดตัวโปรโมชัน ‘MK Buffet อิ่มไม่อั้น 299 บาท’ ระหว่างวันที่ 9-30 มิถุนายน 2568 ไม่ใช่การตัดสินใจง่ายๆ สำหรับ MK ที่เคยวางตำแหน่งเป็นสุกี้ระดับพรีเมียมด้วยราคาเฉลี่ย 400-600 บาทต่อคน
นายศักดิ์ศรี มโนทิพย์ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมอาหารจากบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย อธิบายว่า การลดราคาเกือบ 40% จากบุฟเฟ่ต์รูปแบบเดิม 499 บาท เป็นการเสี่ยงที่คิดคำนวณแล้ว MK กำลังเล่นเกมส์เสี่ยงด้วยการลดราคา เพราะอาจทำลายภาพลักษณ์พรีเมียมที่สร้างมาตลอด แต่ในระยะสั้นจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด
การปรับราคามาพร้อมกับการลดเมนูจากเดิม 100 รายการเหลือ 19 รายการหลัก และจำกัดเวลาทานเหลือ 90 นาที แต่ผลตอบรับเกินคาด ยอดขายพุ่งขึ้น 49% ภายใน 4 วันแรก สาขาที่ร่วมรายการมียอดขายเพิ่มเกือบ 100%
ตี๋น้อย ยืนราคาประหยัด
ในขณะที่ MK กำลังปรับตัว สุกี้ตี๋น้อยกลับเติบโตอย่างมั่นคงด้วยโมเดลธุรกิจที่ออกแบบมาสำหรับตลาดมวลชนตั้งแต่เริ่มต้น นางสาวนัทธมน พิศาลกิจวนิช ผู้ก่อตั้ง กล่าวว่า "เรามั่นใจในโมเดลธุรกิจที่ออกแบบมาสำหรับภาวะเศรษฐกิจนี้ โดยยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นขั้นต่ำ 15% ไว้ได้"
ความได้เปรียบของตี๋น้อย อยู่ที่การบริหารจัดการต้นทุนผ่านระบบซัพพลายเชนที่ควบคุมเอง การออกแบบสาขาขนาดกะทัดรัดเพื่อลดค่าเช่า และการใช้แอปพลิเคชันสั่งอาหารเพื่อลดต้นทุนแรงงาน สาขาเฉลี่ยสามารถบริการลูกค้าได้มากกว่า 500 ที่นั่งต่อวัน เทียบกับ MK ที่ประมาณ 200-300 ที่นั่ง
เมื่อ MK สุกี้ เปิดศึกด้วยราคา 299 บาท ตี๋น้อยไม่ยอมแพ้ ตอบโต้ทันทีด้วยราคา 199 บาท ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 35% และยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 18.7%
อนาคตของการแข่งขัน
คาดการณ์ว่าสงครามราคานี้จะดำเนินต่อไปจนสิ้นปี 2568 เมื่อเริ่มเปิดสงครามราคาแล้ว ก็จะต้องเกิดขึ้นอีก ส่วนจะไปจบที่ราคาไหน ยังไม่ชัดเจนหรือยืนยันได้ แต่หากประเมินความสามารถและต้นทุนของสองคู่แข่ง น่าจะปรับลงได้อีก แต่ต้องสามารถรักษาคุณภาพของอาหารไว้ด้วย
การแข่งขันอาจแยกตลาดชัดเจนระหว่างกลุ่มพรีเมียม (MK) และแมสมาร์เก็ต (ตี๋น้อย) พร้อมเกิดนิชมาร์เก็ตใหม่เช่นสุกี้สุขภาพ บริษัทวิจัย Nielsen ชี้ว่า 45% ของ Gen Z ให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าราคา อาจเป็นโอกาสของ MK ในการพัฒนารูปแบบใหม่ การแข่งขันจะเร่งกระบวนการปรับตัวได้เร็วขึ้น ที่น่าเป็นห่วงคือร้านสุกี้เล็ก ๆ อาจถูกซื้อกิจการ หรือปิดตัวได้ ขณะเดียวกันจะเกิดนวัตกรรมใหม่ เช่น AI บริหารสต็อก หรือระบบ automation ในครัว
ศึกสุกี้ครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการแข่งขันทางราคา แต่เป็นการทดสอบความอดทนและวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการ ผู้ชนะจริงอาจไม่ใช่ฝ่ายที่มีราคาถูกที่สุด แต่เป็นผู้ที่สามารถสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน