“วทัญ จิตต์สมนึก” ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์ บล.พาย มองการเจรจาสหรัฐ-จีน เป็นเพียงแรงหนุนระยะสั้นต่อหุ้นโลก เตือน SET 1,200 จุด P/E 13 เท่าไม่ถูก ชี้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ กำไร บจ.ไม่เด่น แนะระมัดระวังการลงทุน จับตาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ-หุ้น MINT ในไทย
เจรจาสหรัฐ-จีน หนุนหุ้นแค่ระยะสั้น
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ข่าวการเตรียมพบปะระหว่างผู้นำระดับสูงของสหรัฐและจีนที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ เป็นข่าวดีในเชิงจิตวิทยาต่อการลงทุน แต่ประเมินว่าจะ ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเพียงระยะสั้น
“ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบสนองไม่แรง ฮ่องกงบวกเพียง 1% ฟิลิปปินส์บวก 1% ไทยบวก 0.8% เพราะตลาดยังไม่มั่นใจว่าการเจรจาครั้งนี้จะได้ข้อสรุปจริงหรือไม่” วทัญกล่าว
ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวต่อว่า หากย้อนดูประสบการณ์ปี 2018-2019 ที่มีความพยายามเจรจาการค้าระหว่าง ‘สหรัฐ-จีน’ หลายครั้ง แต่ไม่สามารถหาข้อสรุปที่ยั่งยืนได้ การเจรจาครั้งนี้ก็น่าจะอยู่ในลักษณะเดียวกัน และยังมีความเสี่ยงที่จะ ต้องต่อรองกันไปอีกนาน
“เศรษฐกิจโลกยังผันผวน IMF, World Bank ต่างปรับลด GDP ทั่วโลก ไทยเองก็ปรับ GDP เหลือ 1-2% ข่าวการเจรจานี้จึงเป็นเพียง ปัจจัยกระตุกตลาดระยะสั้น ไม่ใช่ปัจจัยที่จะพลิกตลาดให้เป็นขาขึ้น” วทัญกล่าว
SET 1,200 จุด ไม่ถูก – P/E 13 เท่าไม่คุ้มค่า
วทัญ ระบุว่า ระดับดัชนี SET ที่ 1,200 จุด ถือว่า ‘เริ่มตึง’ และ ‘ไม่ถูก’ เมื่อพิจารณาจากค่า P/E ที่อยู่ราว 13 เท่า สูงกว่าเพื่อนบ้าน เช่น เกาหลีใต้ และฮ่องกง ที่มีค่า P/E เฉลี่ย 10-11 เท่า
“กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยไม่ได้โต เศรษฐกิจไทยก็ไม่ได้เด่น การเทรดที่ P/E 13 เท่า จึงไม่เหมาะสม การจะปรับขึ้นต่อจึงยาก โอกาสจะขึ้นมีน้อยกว่าโอกาสที่จะพักฐานหรือปรับลง”
วทัญ แนะนำว่า นักลงทุนควรระมัดระวัง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน และการเจรจาการค้ายังไม่มีความคืบหน้า ส่วนการลงทุนหุ้นไทยยังไม่มี “จุดน่าสนใจมากพอ” ที่จะเพิ่มน้ำหนักลงทุน
เงินเฟ้อติดลบไม่ใช่สัญญาณเงินฝืด – กำลังซื้อยังอ่อน
สำหรับกรณีเงินเฟ้อไทยติดลบ 0.2% วทัญมองว่า “ไม่ใช่สัญญาณเงินฝืด” แต่เกิดจากราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่ลดลง ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งตัดราคาพลังงานและอาหารสดออก ยังคงขยายตัวราว 1%
“เงินเฟ้อพื้นฐานยังบวกอยู่ แสดงว่าเศรษฐกิจยังไม่ถึงขั้นเงินฝืด แต่กำลังซื้อยังอ่อน เห็นได้จากยอดขายของค้าปลีกหลายแห่งที่ทรงตัว เช่น โฮมโปร ซีพีออลล์”
พร้อมแนะนำว่า นักลงทุนในกลุ่มค้าปลีกควรรอราคาปรับลงก่อน เนื่องจาก “Valuation ยังสูง” แต่หากสนใจลงทุนในระยะยาว “MINT (ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล)” ถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากมีโมเดลธุรกิจต่างประเทศที่หลากหลาย และมีโอกาสฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว
ชูหุ้นเทคสหรัฐ-โอกาสลงทุนต่างประเทศ
วทัญ แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่มองหาตลาดลงทุนที่น่าสนใจกว่าหุ้นไทย ควรพิจารณาตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะ “ตลาดหุ้นสหรัฐ” ในกลุ่ม หุ้นเทคโนโลยี เช่น Microsoft, Google (Alphabet) ซึ่งยังมีแนวโน้มการเติบโตสูงและเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และ Cloud Computing
“หุ้นไทยไม่เซ็กซี่ ไม่สดใส ไม่เหมือนตลาดต่างประเทศที่ยังมีโอกาสซ่อนอยู่ นักลงทุนควรกระจายการลงทุนไปยังหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่า” วทัญกล่าว