การเติบโตของ Three Man Down ในอัลบั้มชุดที่ 2
กิต: อัลบั้มนี้มันเริ่มมาจากการทำงานก่อน พวกเราใช้วิธีการทำงานที่มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกเพลงที่เกิดขึ้น การคิดซาวด์หรือเนื้อเพลง ‘ตูน’ ก็เลือกคำมาใช้ที่ไม่เหมือนเดิม หลายๆ อย่าง การทำงานก็ร่วมงานกับคนอื่นมากขึ้น เราอยากได้อะไรใหม่ๆ ถ้าเป็นพวกเรา 4 คนบางอย่างมันอาจจะยังอยู่ในห้องเหมือนเดิม ในอัลบั้มนี้เรามีคนมาช่วยทำงานในพาร์ทดนตรีเยอะมาก เราอยากร่วมงานกับคนอื่นๆ เพื่อให้เกิดอะไรใหม่ๆ ในผลงานเพลงส่วนเป้าหมายก็คือ พวกเราอยากไปในทิศทางที่ดูโตขึ้นในเชิงที่ไม่ได้แก่แดดหรือโตไปเลยนะ ตอนนี้เราอินอะไรอยู่ เราก็จะทำสิ่งนั้นแหละ เมื่อก่อนเราอิน ‘ฝนตกไหม’ เราก็ทำเพลงสไตล์นั้น เราผ่านมาช่วงอายุนึง มันก็มีสิ่งที่เราอินด้วย เราก็มารวมพลังกันว่า ความอิน มันคืออารมณ์ เราจะมัดรวมให้มันเป็นก้อนให้คนฟังจับต้องได้อย่างไร เรานำเสนออัลบั้มนี้ในรูปแบบที่ ‘เต’ เคยพูดไว้ อัลบั้มที่หนึ่งเป็นลูกชาย อัลบั้มนี้ก็เป็นลูกชายคนโตแล้วกัน มันก็คือพี่น้องกัน ในครอบครัวเนี่ยพี่น้องต้องไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้ว มันจะมีความขัดกันอยู่ ถ้าน้องชายแม่งอะไรก็ดีไปหมด โดนเปรียบเทียบพี่ชายมันก็จะมีอีกมุมที่มันก็ไม่ชอบโดนเปรียบเทียบเหมือนกัน ไม่ชอบให้คนมองแบบนั้น โตมาอีกแบบนึงเลย โตมาก่อน เกิดในยุคกึ่งดิจิตอล ถ้านึกภาพตามน้องชายเด็กกว่าก็จะดิจิตอล 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามุมพี่ชายก็อาจจะแบบกึ่งๆ ดิจิตอล ยังมีความอนาล็อคอยู่บ้าง มันคือคอนเซปต์ในเชิงภาพ เพื่อให้วงเราไปบรีฟต่อกับคนที่มาทำงานด้วยกัน เข้าใจภาพรวมอัลบั้มนี้ได้ง่ายขึ้น
อัลบั้มที่หนึ่งเป็นลูกชาย อัลบั้มนี้ก็เป็นลูกชายคนโตแล้วกัน มันก็คือพี่น้องกัน
เต Three Man Down
ตูน: อย่างที่ ‘กิต’ บอกครับ พอจบอัลบั้มแรก เรามองหาแล้วว่า เราจะไปทางไหนกันต่อดี ซึ่งผมลองหลายแนวมาก เราทดลองทั้ง ฮิปฮอป ร็อก แล้วก็แบบมีไปทางอิเล็กทรอนิกส์ไปเลย ซึ่งผมรู้สึกว่า แนวร็อกมันเข้ากับวง เพราะจริงๆ แล้ววงเราเป็นวงที่เล่นเพลงร็อกมาก่อนจะเป็นป๊อบ อีกทั้งเรารู้สึกว่า เพลงวงเราที่มันมีความเป็นป๊อบอยู่ในเดโม่เป็นร้อยๆ ลึกๆ แล้ว เพลงของเรามันมีความร็อกอยู่นะ เรารู้สึกว่า เออไอ้เพลงร็อกที่ไม่ได้ใช้บางเพลง เดโม่มันสามารถปะติดปะต่อเป็นอัลบั้มสองแล้วเติมสีสันใหม่ๆ เข้าไปได้ อันนี้ก็คือที่มาของการทำเพลงในอัลบั้มนี้ เราเห็นว่า บางอย่างมันเอามาต่อกันแล้วมาเติมมันกลายเป็นอัลบั้มสองได้ ก็เลยปลุกความเป็นร็อกในตัวคุณและตอนนี้พวกเราเลยใส่เสื้อดำกันหมดเลย (หัวเราะ)

ความร็อกของ Three Man Down ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
กิต: เรียกได้ว่า ‘ตูน’ มันควงกีต้าร์ไปแล้วครับถ้าไม่กลัวคอหัก (หัวเราะ) มันเป็นความคึกในช่วงมัธยมปลายมาเจอกันตอนมหาลัยใส่กันแบบเต็มที่ ตัวผมเองอาจจะไม่ร็อกเท่า ‘ตูน’ กับ ‘เต’ ตูนกับเตจะร็อกกว่า ผมกับ ‘เส็ง’ ก็จะเป็นร็อกกึ่งป๊อป เพราะผมต้องร้องเพลงด้วย ถ้าผมแหกปากแล้วมันเจ็บคอ งั้นผมขอเป็นวงร็อกที่สะอาดหน่อยละกัน แล้วพอมันมารวมกันต่อให้มันเป็นเมทัลขนาดไหน ผมก็จะร้องคลีนให้เพราะกลัวเจ็บคอ ถ้าหลายคนจำได้ก็อย่างเพลง ผจญภัย ที่เราโคฟเวอร์ที่มีปั่นสองกระเดื่องเร้าๆ เลย พอมีเส็งเข้ามา ด้วยความที่วงไม่เคยมีมือคีย์บอร์ด ‘เส็ง’ โซโล่ไป 16 บาร์ (หัวเราะ) โซโล่อะไรของมันนานขนาดนั้น แล้วก็ส่งต่อให้ ‘ตูน’ โซโล่ต่ออีก 8 บาร์ คลิปนั้นเลยห้องซ้อม E.Q.Studio แล้วก็มายุคที่พี่ๆ Lomosonic รุ่งเรือง ‘เก็บไว’ แล้วเราก็ใส่กันมาเรื่อยๆ จนมาทำเพลงนึง ชื่อ ‘คำทำนาย’ แล้วมันก็ไม่มีตังค์ ทำเอ็มวีกันเองเต: แต่จริงๆ ความร็อกนี่มันไม่ได้อยู่ในเพลงอย่างเดียวนะ มันอยู่ในดีเอ็นเอของพวกเราด้วย การโชว์ในอัลบั้มแรก เพลงมันค่อนข้างป๊อบ แต่ถ้าใครดูโชว์วงเราก็เล่นเพลงป๊อปได้ไม่ป๊อปที่สุดแล้ว เพราะว่า เราก็พยายามที่จะใส่ความเป็นวัยรุ่น ซาวด์ที่มันหนักขึ้นสำหรับไลฟ์โชว์ให้มันหนักขึ้น เพียงแต่ว่า เราเอาจากการเล่นสดเข้ามาอยู่ในตัวเพลงด้วย แล้วในเวทีมันก็จะเดือดขึ้นไปอีก
กิต: เดือดจนผมคุ้มไม่อยู่แล้ว (หัวเราะ) อย่างตอนล่าสุดที่ไปเล่น พุ่งใต้เฟสติวัล ตอนขึ้นเพลง ‘น้อง’ มันมีเด็กแก็งผู้ชายกลุ่มนึงมันจะโดดแล้ว ในใจผมคิด อย่าเพิ่งใจเย็น มันมีท่อนให้พวกเอ็งโดดอยู่แล้ว มันก็สนุกดีครับ
กระแสตอบรับของการเอาเพลงในอัลบั้มใหม่ไปเล่นสดในแต่ละโชว์ที่เกิดขึ้น
กิต: จริงๆ ตั้งแต่เพลง ‘ปล่อยให้เวลา’ แล้วเส็ง: วงผมเพลงคุยกันเรื่องเพลง จะคุยกันเรื่องฟังก์ชั่นการนำไปใช้ตอนเล่นเสมอครับ
กิต: เพลงแบบนี้ร้องตาม เพลงนี้ร้องไห้ เพลงนี้ง่วง เพลงนี้โดด เพลงนี้มอช ตอน ‘ปล่อยให้เวลา’ ออกมาตอนนั้นเล่นที่รังสิต ร้านก่ำกึ่่ง แก็งเด็กผู้ชายข้างหน้าแม่ง ตะโกน หึ่ยๆ ผมว่าฟังก์ชั่นนี้มันได้แล้ว สมัยก่อนหน้านี้ก็จะไม่ได้เป็นแบบนี้สักเท่าไหร่
เต: ผมคุยกันเลยนะ ตอนเริ่มทำอัลบั้มใหม่ ผมคิดว่า นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้วในการทำอะไรใหม่ๆ ช่วงนั้นคุยกันเยอะมาก ถ้าให้คนพูดว่า Three Man Down พูดว่า ทำเพลงแบบนี้อีกแล้ว เราอยากให้คนพูดว่า Three Man Down กล้าทำเพลงที่ไม่คิดว่าจะทำบ้างดีกว่า แล้วเหมือนกับว่า ถ้าเราไม่ทำอะไรแบบนี้ในช่วงเวลาเท่านี้เราจะทำไม่ได้แล้ว สมมุติอายุ 30-35 ปี มันอาจจะช้าเกินไป พวกเราก็เลยตัดสินใจทำมันเลย
ความบังเอิญ จังหวะ และการเติบโตที่ทำเพลงในอัลบั้มนี้กลมกล่อม
กิต: ผมจะมีหน้าที่แบบว่า เรียงเพลงที่จะปล่อยทุกครั้ง ตอนฟังทุกคนในวงจะโหวตกันว่า ‘ปล่อยให้เวลา’ ต้องเป็นเพลงแรก ส่วน ‘น้อง’ คือเพลงม้ามืดเพราะว่า ตอนแรกมันเป็นเพลงป๊อบปกติเลย แล้วพอไปอยู่ในมือโปรดิวเซอร์ ตอนนั้นเราไม่บอกว่า เราทำอะไรกันอยู่ในอินเตอร์เน็ต (หัวเราะ)เต: โปรดิวเซอร์ก็ทำเพลงไป ในขณะที่พวกเราก็ทำงานออนไลน์ (หัวเราะ)
กิต: เราก็เปิด Zoom ขึ้นมา เห็นหน้าทุกคน ผมก็ส่งลิงค์อีกลิงค์นึงเป็นเว็บไซต์อีกอันเป็นกีฬาประเภทนึงในรูปแบบออนไลน์ ใครที่ไม่มีสมาธิทำงานก็มาห้องนี้ก่อน สรุปห้องนั้นเต็ม ห้องทำงานไม่มีคน ผมก็เปิดเสียงฟังไปด้วย อยู่ดีๆ ‘SpatChies’ เขาก็แบบใส่คอร์ดร็อกมา เราก็ฟังแล้วเฮ้ยอันนี้ดี จำได้เลยว่า ตูน ยังไม่ได้ฟัง เพราะกิจกรรมกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม
ตูน: ไม่มีสมาธิฟังแล้วตอนนั้น (หัวเราะ)
กิต: สักพักตูนกลับไปฟัง เฮ้ยมันได้นิหว่า ‘น้อง’ ก็เลยถูกยกขึ้นมาก่อนที่จะมีเพลง ‘เด็กเกินไป’ ตามคิวขึ้นมาตามลำดับ เด็กเกินไป ผมมองว่า เป็นเพลงขนมหวาน เพราะว่า เราเสิร์ฟ อาหารที่รสจัดไปเรื่อยๆ ตอนนี้เราจะเสิร์ฟขนมหวานแล้ว เพื่อให้ขนมหวานมันหวานขึ้น ตามแบบสากลเลย อาหารรสจัดๆ มาแล้ว แล้วก็ผ่อนมาเป็นขนมหวานหน่อย จริงๆ เพลงแบบนี้ก็มีอีก เพลงร็อกๆ แต่เก็บไว้ก่อน หลังจากนี้เราจะเสิร์ฟขนมหวานสัก 2-3 จาน แล้วก็จะเป็นอัลบั้มเต็มเลย
เต: ผมมองว่า ทั้งตัวเพลงนี้และอัลบั้มนี้มันเป็นการเล่าแบบภาพยนตร์ล่ะกันครับ ถ้าใน Avangers ที่เราเคยดูมันต้องซัดกันตู้มตามกัน แล้วถึงจุดที่เราผ่อนคลายบ้าง แต่ถ้าตู้มตามทั้งเรื่องเลย มันอาจจะเหนื่อยเกินไป อัลบั้มก็เช่นกัน
ตูน: ล่าสุดไปดู John Wick ภาค 4 มาซัดกันทั้งเรื่อง ปรากฏว่า หลับ (หัวเราะ)
เต: แล้วการที่เราดึงลงมาเป็นเพลงขนมหวาน มันจะทำให้เพลงที่เดือดเพลงต่อไปมัน รู้สึกว่า อร่อยขึ้น อิมแพ็คขึ้น มันเป็นการเสิร์ฟแบบอาหารคอร์ส เราเป็นเชฟ เราต้องเรียงอาหารที่รสชาติมันส่งเสริมซึ่งกันและกันในคอร์สนี้
กิต: จะบอกว่า ‘เด็กเกินไป’ มันเป็นแค่ออเดิร์ฟขนมหวานเลยด้วยซ้ำ เพลงนี้มันเป็นแค่เตรียมเสิร์ฟเฉยๆ เดี๋ยวมันจะมีหวานกว่านี้

‘เด็กเกินไป’ ซิงเกิลที่ว่าด้วยความไม่เข้าใจต่อให้โตสักเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเข้าใจอยู่ดี
กิต: จริงๆ เนื้อเพลงนี้มันตรงไปเลยครับ แล้วเหมือนกับว่า เรามาคุยกันเรื่องภาพ เรื่องเอ็มวีในใจผมก็ไม่ได้อยากให้มันตรงแบบเนื้อเพลง ถ้าเพลงนี้มันเป็นแบบตอนแรกมันจะเด็กเกินไปที่เด็กจริงๆ แต่พอมันมาอยู่ในอัลบั้ม ผมว่าความคิดเราตอนนี้ ผมไม่ได้มองเรื่องความรักเชิงหนุ่มสาวแล้วครับ เรากลับมองเห็นในเรื่องของครอบครัวมากกว่า ซึ่งพอดี พี่โรส ที่เป็นผู้กำกับ เขาก็บอกว่า เขาไม่ถนัดทำเอ็มวีแบบหนุ่มสาวนะ งั้นพี่ลองเอาไอเดียแบบอื่นมาเลย ตอนแรกผมเสนอไปในเชิงชีวิต เขาก็เลยไปคิดกลับมากลายเป็นเชิงครอบครัวละกัน ในเมื่อความรักที่เกิดขึ้นในมนุษย์ครั้งแรกมันคือครอบครัว ไม่ใช่แฟน เราลองมาขยี้ตรงนี้ดูครับความคาดหวังของวงกับเพลง เด็กเกินไป
ตูน: ผมรู้สึกว่า ตอนนี้อยากจะพูดชื่ออัลบั้มให้ทุกคนฟังมาก (หัวเราะ) แต่ถ้าทุกคนได้ฟังทั้งอัลบั้มแล้วได้ยินชื่ออัลบั้ม ทุกคนจะเข้าใจเลยว่า สิ่งที่เราเรียงมามันคืออะไร ตอนนี้มันเหมือนแบบหนังอะไรสักเรื่องที่เรายังไม่เข้าใจเรื่องมันทั้งหมด อยู่ๆ ตอนแรกเหมือนมันเป็นสงครามเลย แล้วอยู่ๆ ก็ตัดมาเป็นชีวิตชนบท แล้วเดี๋ยวสุดท้ายปลายทางเราจะเข้าใจเต: ซึ่งจริงๆ ยังไม่ต้องเข้าใจก็ได้ เหมือนเราดูซีรีส์ทุกวันนี้ บางตอนในซีรีส์มันก็ทำให้เรางง เพื่อที่จะมาเป็นจุดคลี่คลาย ดูไปเรื่อยๆ แต่มันจบในตัวแน่ๆ แต่อีพีแต่ละตอนมันจะเล่ากันคนละแบบ
ตูน: ซึ่งถ้าจะเจาะไปที่อีพี ‘เด็กเกินไป’ อีพีเดียวคอนเซปต์หลักมันก็คือ เด็กๆ เวลาเราโตขึ้นมา เราจะโดนบอกเสมอว่า โตขึ้นมาเราจะเข้าใจเอง อันนี้คือคีย์เวิร์ดของเพลงนี้
กิต: พี่โรส ผู้กำกับ เขาเลยไปตีความต่อว่า โตขึ้นมาแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
เต: สุดท้ายมันไม่มีวันเข้าใจ มันไม่มีวันโตทันกัน
เส็ง: มันจะมีเรื่องนึงที่ไม่ว่าจะเราจะโตยังไง เราก็ไม่เข้าใจ ในเรื่องนี้อยู่ดี
เราไม่มีทางเข้าใจทุกอย่างอยู่แล้ว...โลกใบนี้มันมีเรื่องมากมายเกินกว่าที่ชีวิตเราจะเรียนรู้ได้หมด
กิต Three Man Down

Three Man Down กับความ ‘เด็กเกินไป’ ในการทำงานวงการเพลง
เต: ถ้ามองเรื่องงานก็เด็กเกินไปได้ ถ้าเรื่องชีวิตก็ยังเด็กเกินไปได้ ผมมองว่า ผมไม่มีวัน เข้าใจในสิ่งที่ผมยังไม่รู้แน่นอนเส็ง: เราไม่มีทางเข้าใจทุกอย่างอยู่แล้ว โลกใบนี้มันมีเรื่องมากมายเกินกว่าที่ชีวิตเราจะเรียนรู้ได้หมด
กิต: อย่างการเป็นวงดนตรีวงนึง เราหวังว่า เราจะทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ได้ เหมือนที่มีใครสักคนทำได้ แต่พอมาถึงจุดนึง เรายังไม่เข้าใจเลยว่า สิ่งที่เขาเคยทำไว้ เขาทำได้ยังไง เราก็ยังต้องแกะโครงสร้างในประวัติศาสตร์ที่เขาทำ อาทิเช่น ‘The Beatles’ อาจจะทำสิ่งนั้นโดยที่ไม่ได้วางแผนก็ได้ เราก็ต้องนั่งมาดูว่า พวกเขาทำได้อย่างไร สมมุติในประเทศไทยอย่าง ‘อัสนี-วสันต์’ เขาจัดคอนเสิร์ตใหญ่ได้ยังไง การจะทำอะไรสักอย่างมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ การที่จะทำให้คน 12,000 คนออกจากบ้านพร้อมกัน มันไม่ใช่เรื่องปกติเลย ตอนนี้เรายังหวั่นใจอยู่เลย เราต้องใช้ท่าไหนดีที่จะทำให้แฟนคลับมีเงินมาซื้อบัตร เราจะทำยังไงให้ทุกคนพอใจ เราไม่รู้เลยครับสิ่งนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจ ใช้ดวงครึ่งหนึ่ง สถิติครึ่งหนึ่ง

ไม่อยากให้เธอไม่สบาย ซิงเกิลล่าสุดกับการเล่าเรื่องผ่านมุมมองความรักที่โตขึ้น
ตูน: ต้องเล่าย้อนไปก่อนว่า จริงๆ ด้วยความที่ตอนนี้เราอายุมากขึ้นแล้ว ตั้งแต่เพลง ‘ข้างกัน’ ที่เป็นเพลงรักเพลงแรกของวงประมาณ 4 ปีที่แล้ว ก็จะเป็นความรักในวัยอายุ 23-24 แต่พอตอนนี้เราอายุ 28 ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราพยายามหาเพลงมองหาเพลงรักเพลงต่อไป ซึ่งยังไม่เจอเพลงรักที่มันสู้เพลงข้างกันได้ จนมาถึงเพลงนี้มันเป็นความรักอีกแบบ เป็นความรักรูปแบบห่วงใยคนใกล้ตัว ไม่ได้เป็นความรักแบบรักแรกพบอะไรแบบนั้น เป็นความรักที่ห่วงว่าใครคนนึงที่อยู่ข้างเราจะหายไป ซึ่งพอมีเดโม่นี้ออกมาเรารู้สึกว่า มันใช่เลยที่จะมาอยู่ในอัลบั้มใหม่ เลยเลือกหยิบเพลงนี้มา ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ทำเสร็จเพลงสุดท้ายของอัลบั้มแต่ถูกหยิบขึ้นมาปล่อยก่อนเพลงอื่น จริงๆ เพลงนี้แต่งให้กับนีโม่ (สุนัขของตูน) นีโม่ป่วย แต่เราก็เอามาขยายต่อ ไม่สำคัญว่า เราแต่งให้ใคร สำคัญตรงที่เนื้อหาคืออะไรซึ่งเนื้อหาก็คือ ห่วงใยคนที่อยู่กับเรา กลัวเขาจะหายไป
มิวสิกวิดีโอกับการเล่าเรื่องโดยการถ่ายรูปครอบครัว Three Man Down
กิต: ตอนที่เราอัดเพลงนี้จนเสร็จแล้วมิกซ์ดราฟแรกส่งเข้ามาในกลุ่ม วันนั้นจะไปเล่นพอดีผมก็เปิดฟัง ฟังรอบแรกรู้สึกเพลงเพราะจังเลย พอฟังวนไปเรื่อยๆ ภาพมันค่อยๆ เข้ามาในหัวเป็นช็อตๆ แบบว่า เราอยากจะ Snap วันเวลาตรงนี้ไว้แล้ววิธีการ Snap มันเป็นแบบไหนได้บ้าง ก็เลยนึกถึงบ้านตัวเองว่า บ้านเราไม่มีรูปครอบครัวเลย และค่อยๆ นึกถึงบ้านเพื่อนๆ คนอื่นเขาจะมีรูปครอบครัวกันไหม นึกไปเรื่อยๆ ก็น้ำตาไหล พอไปถึงที่ออฟฟิศวงก็เลยถามเพื่อนว่า มีใครเคยถ่ายรูปครอบครัวไหม สรุปก็คือส่วนใหญ่แทบจะไม่มีใครถ่ายรูปครอบครัวเลย อาจจะเคยตอนเด็ก อย่างบ้านผมคือเคยตอนเด็กแบบผมเด็กอ้อแอ้เลยนะ เลยรู้สึกว่า สำหรับผมยังไม่เคย ก็เลยอยากจะถ่ายรูปครอบครัว ไหนๆ ถ่ายแล้วก็ถ่ายทั้งหมดเลยละกัน ทีมงานด้วย อยากจะแคปเจอร์โมเมนต์นี้ไว้ เอ็มวีตัวนี้เลยอยากทำของเราให้วันนี้มันมีค่า ถ้าเกิดว่ามันออกไปแล้ว แล้วคนอื่นรู้สึกเหมือนเรา ก็รู้สึกขอบคุณและยินดีกับสิ่งนั้นด้วยมากๆ ครับ ที่เมสเซจที่เรารู้สึกทุกคนก็รู้สึกเหมือนกัน แล้วมันก็ไปตอบเพลงพอดีในพาร์ทของเพลง มันสอดคล้องกันทั้งภาพและเสียงตอนนั้นก็คิดว่า ถ้าเกิดคนอื่นดูแล้วรู้สึกว่า ไม่เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรก็ไม่เป็นไร เพราะเราแค่อยากจะทำวันนี้ให้มีค่าสำหรับครอบครัวพวกเราทุกคน อยากให้พ่อแม่ทีมงานทุกคนรู้ว่า ลูกเขากำลังทำอะไร ลูกเขาอยู่กับใคร พ่อเขาทำอะไร พ่อเขาอยู่กับใคร แต่ผลตอบรับก็คือกลายเป็นคนดูก็รู้สึกด้วย ก็เลยรู้สึกยินดีมากๆ ขอบคุณมากๆ ครับ


บรรยากาศวันถ่ายทำมิวสิกวิดีโอกับความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความรัก
เต: รู้สึกว่า หนึ่งคือคนเยอะมาก สองคือรู้สึกว่าได้เจอครอบครัวของทุกคนแบบครบทุกคนจริงๆ ก็คือวันนั้นทุกคนในครอบครัวเรารู้เลยว่าเขาโตมายังไงเส็ง: เหมือนกับเราได้รู้จักคนในทีมงานมากขึ้นไปอีก
เต: สมมุติทีมงานเราคนนึงชื่อแมน เราก็จะเห็นความน่ารักของแมนที่อยู่ในแม่เขา
เส็ง: มันเป็นช็อตเซอร์ไพร์สหลายอย่าง การแสดงความรักในครอบครัวของแต่ละครอบครัวก็จะไม่เหมือนกัน บางครอบครัวก็จะดูแข็งๆ นิ่งๆ แต่จริงๆ แล้วมันก็คือความแสดงความรักกันอยู่
กิต: ที่ผมชอบก็คือดีเทลต่างๆในแต่ละครอบครัวมันมี identity ในแต่ละบ้านนั้น อย่างความตลกของอาร์ท (ทีมงาน technician) ความตลกของอาร์ทมันอยู่ในแม่เขา จังหวะหัวเราะของอาร์ทคือรอยยิ้มของพ่อเขา แล้วรวมกันกลายเป็นอาร์ท พออาร์ทอยู่กับน้องชายมันก็คือนี่แหละคือบ้านอาร์ท ผมรู้สึกชอบอะไรแบบนี้ ชอบการหัวเราะของแม่แมนที่หัวเราะแล้วตัวโยก ก็คือแมนก็เป็นแบบนั้น วิธียิ้มของพี่ภาคินกับพี่ชายเหมือนกัน เอ๊ะมาจากใครนะ อ๋อมาจากแม่ คืออะไรแบบนี้มันส่งต่อกันมา ผมรู้สึกว่ามันเป็นดีเทลที่น่าสนใจดี
เต: แล้วมันก็ลามไปถึงตอนที่อยู่นอกการเรคคอร์ดที่ครอบครัวของแต่ละครอบครัวเพิ่งได้เจอกันจริงๆ เหมือนเราเอาลูกเขามาทำงาน เราพรากชีวิตครอบครัวเค้ามาให้มาทัวร์กับเรา ในวันนั้นครอบครัวเขาก็มาคุยกันว่า ลูกเขาเป็นยังไง ครอบครัวเราโอเคกันดีไหม มันเป็นการแชร์ประสบการณ์ของครอบครัวที่มีต่อวง Three Man Down
เส็ง: เหมือนการประชุมผู้ปกครอง
ตูน: ซึ่งจริงๆ แล้วก็เกิดโมเมนต์ดีๆ ตรงที่ว่า เขาก็ฝากฝังกัน ฝากดูแลลูกด้วยนะ ลูกมีอะไรก็ให้บอก เหมือนเราเป็นอาจารย์ใหญ่รับเรื่องไว้ทั้งหมด ได้รู้จักทีมมากขึ้น รู้จักผ่านครอบครัวของเขา
กิต: รู้จัก Culture แต่ละบ้าน บ้านนี้สไตล์คุณพ่อดุ บ้านนี้คุณแม่ดุ บ้านนี้คุณพ่อคุณแม่ตลก บ้านนี้คุณพ่อคุณแม่เขิน อย่างบ้านน้องโอ๊ต (ช่างภาพ) คุณพ่อคุณแม่จะไม่ค่อยพูดจะเกรงใจมาก นั่งกันอยู่ในที่พักคุณพ่อคุณแม่โอ๊ตออกไปนั่งข้างนอกเพราะบอกว่าข้างในคนเยอะกลัวคนอื่นไม่มีที่นั่ง เค้าออกไปนั่งร้อนๆ ข้างนอก แต่ทำไมโอ๊ตถึงเป็นแบบนี้ก็งงเหมือนกัน (หัวเราะ)
เส็ง: ตอนนอกซีน กิตจะมีวิธีการเรียกรีแอคชั่น ณ ช่วงเวลานั้นออกมา อย่างเช่นการยิงคำถามไปที่พ่อแม่ว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไงกับลูกเขา เป็นห่วงลูกในเรื่องไหนบ้าง หรือว่าลูกๆ ตอนนี้เรามองครอบครัวเรายังไง รู้สึกกับครอบครัวยังไง
กิต: ซึ่งมันก็ทำให้ปลดล็อค
เส็ง: ผมว่ามันเป็นโอกาสที่มียากมาก ด้วยความที่เราโตมามีความเขินอาย การแสดงความรักต่อกันอาจจะน้อยลง หรือว่าเวลาน้อยลง ทำให้ต่างคนต่างอยู่มากขึ้น เลยหาโมมนต์แบบนี้ยากจังเลย ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากๆในการได้คุยกันได้แสดงความรู้สึกดีๆต่อกัน
กิต: มันก็มาจากคำถามของคนในวง เพราะเรารู้จักเพื่อนเรา เพื่อนเราแชร์เรื่องที่บ้านมาให้ฟังเสมอแม้แต่ทีมงาน ผมก็จะจับหมุดพอยท์ในแต่ละครอบครัว ก็ต้องยิงไปที่พอยท์ต่างๆ ที่เขารู้สึกกันเพื่อปลดล็อกอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าจะได้พูดกันอีกเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าหมุดตรงนี้เราจะได้คลายปมกันตอนอายุเท่าไร วันนี้มันเป็นวันที่ดีที่เราจะได้พูดอะไรออกมาที่จะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวมันดีขึ้น
เส็ง: จริงๆ เรื่องพี่ต้น (รถตู้วง) ผมเซนซิทีฟมาก ด้วยความที่เป็นตัวตนเขา ผมรู้อยู่แล้วว่า เขารักลูกมาก Vdo Call หาลูกตลอด
กิต: แม้แต่ตอนขับรถ เขาไม่จับพวงมาลัยนะ เขาจับโทรศัพท์สองมือ (หัวเราะ) แต่ละครอบครัวจะมีดีเทลต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องยิงคำถามให้ตรงจุดไม่เหมือนกัน


แล้วถ้าวันนึงคนที่เรารักไม่อยู่แล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร
ตูน: จริงๆ ไม่เคยคิดภาพตอนที่คนใกล้ตัวไม่อยู่เลยครับ รู้สึกว่า ไม่อยากคิด เพราะรู้สึกว่าคิดแล้วเศร้า ตอนนี้คิดแค่ว่าใช้ยังไงตรงนี้ให้มันคุ้มที่สุดกิต: เมื่อก่อนตอนเด็กๆ คิดบ่อยมาก ก่อนนอนจะคิดว่า ถ้าแม่เราตายจะทำยังไงดี ถ้าพี่ชายเราตายจะทำยังไงดี คิดแล้วก็ร้องไห้ ผมว่าเด็กหลายๆ คนจะต้องเคยคิดแบบนี้แล้วก็จะเสียใจ แต่พอเริ่มโตขึ้น ใช้ชีวิตไปมากขึ้นเลยรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่มันหนีไม่ได้แล้ว มันเป็นอะไรที่เราต้องยอมรับมัน แล้วก็อยากใช้ชีวิตให้มีความสุขกับครอบครัวมากที่สุดในทุกๆวัน
เต: รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ พยายามเข้าใจมันเพราะเราก็ผ่านการสูญเสียคนในครอบครัวมาบ้าง แล้วเราก็รู้ว่ามันก็จะผ่านไป สิ่งที่เหลือไว้ก็คือรูปภาพกับเรื่องในหัว กับวิดีโอพวกนี้ที่เราเก็บโมเมนต์นี้ไว้ ส่วนภาพที่อยู่ในหัวมันก็จะตายไปพร้อมกับเรา ดังนั้นก็รักให้ได้มากที่สุดในชีวิตที่ยังอยู่แล้วก็ทำให้ดีที่สุดในวันที่เค้าจากไป รู้ว่าตัวเองต้องเศร้าแน่ๆในวันนั้นแต่ก็ทำใจเอาไว้แล้วส่วนหนึ่ง
เส็ง: เหมือนกิตกับเต จริงๆ ตอนเด็กก็คิดเหมือนกัน ถ้าเกิดสมมติว่า พรุ่งนี้พ่อแม่เราไม่อยู่แล้ว จะดูแลธุรกิจยังไง ยังทำอะไรไม่เป็นเลย ตอนนั้นก็ได้แต่เศร้าไม่รู้จะทำยังไง แต่พอโตมาแล้วมันเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับให้ได้ จริงๆ คำในเพลงที่บอกว่า “ถ้ามีใครหนึ่งคนต้องตาย” เราจะรู้สึกยังไง ผมว่าในความรู้สึกก็คงจะอยู่ไม่ได้หรอก แต่ว่าในความจริงแล้วเราต้องดำเนินชีวิตต่อไป ในเรื่องการลาจาก เรายิ่งโตไปเราอาจจะเข้มแข็งขึ้นกว่าตอนนี้
เต: แต่ความเศร้ามันก็ยังเท่าเดิม แต่ว่ามันเข้าใจมากขึ้น
เส็ง: เราอาจจะมีสิ่งที่เราต้องทำมากขึ้น สิ่งที่เราจะต้องอยู่ให้ได้มากขึ้น
กิต: ความทรงจำมันอยู่ในหัวเรา แต่ว่าภาพถ่ายคือหลักฐานของความทรงจำ

ซีนวันนั้นผมเห็นภาพทุกคนแบบจะร้องไห้ เพราะว่าโอมก็อยู่กับเรามานาน ความทรงจำทุกอย่างมันเยอะมาก มันมีความรู้สึกหลายๆ อย่างที่มันพูดออกมายาก
ตูน Three Man Down
ความรู้สึกของภาพสมาชิก Three Man Down ที่มีทั้งหมด 5 คน
ตูน: รู้สึกว่าน้ำตากลั้นกันไว้แทบจะไม่อยู่ ซีนวันนั้นผมเห็นภาพทุกคนแบบว่าจะร้องไห้ เพราะว่าโอมก็อยู่กับเรามานาน ความทรงจำทุกอย่างมันเยอะมาก ตอนนี้โอมไม่ได้อยู่กับเราแล้ว มันมีความรู้สึกหลายๆ อย่างที่มันพูดออกมายาก รู้สึกดีที่ได้เจอโอมอีกครั้ง หลังจากที่โอมออกไปก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ วันนั้นโอมมาก็เหมือนได้รียูเนี่ยนกันอีกครั้ง ซีนที่โอมเดินเข้ามา ดูกี่ครั้งน้ำตาซึม คนดูร้องไห้ เราก็ร้องไห้เหมือนกันเต: ถ้าฟุตเทจมันยาวกว่านั้นก็จะเห็นหน้าทุกคนเริ่มเบะร้องแล้ว
กิต: ตอนนั้นในหัวผมรู้สึกว่า ทุกวันนี้ที่เราจะถ่ายรูปกัน 4 คน มันจะมีคำถามว่าจะต้องยืนยังไง แต่ว่าวันนั้นเป็นวันที่ผมจำได้ว่าวันนี้เราจะยืนแบบเดิม คือแบบนี้แหละ แบบนี้คือวิธีการยืนของ Three Man Down แล้ววันนั้นมันยืนแบบเดิม เส็ง ตูน จะอยู่ขวากับซ้ายสุดเพราะตัวสูง แล้วค่อยไล่มา ผมอยู่ตรงกลาง มันจะเป็นแบบนี้เสมอ Three Man Down จะไม่ยืนแบบอื่นเพราะจะได้บาลานซ์เฟรมกัน วันนั้นมันยืนแบบเดิม
เต: มันนานมาแล้วที่ไม่ต้องคิด เดินไปปุ๊บแล้วรู้เลยว่าทุกคนจะอยู่ตรงไหน
เส็ง: ผมรู้สึกว่า 5 คนแล้ว ตอนนี้มัน 5 คนว่ะ
เต: ตอนที่อยู่แยกยังไม่เข้าซีนมันยังไม่รู้สึกเท่าไหร่ แต่พอโอมนั่งปุ๊บ มันรู้สึกแบบ ทุกอย่างคือสิ่งนี้ว่ะ
เส็ง: แล้ววันนี้มันมาครบหลังจากที่เราอยู่กัน 4 คนมาช่วงนึง 4 คน ตอนนี้มันไม่ได้เรียกว่าขาดนะ แต่พอ 5 คนมันครบกว่า
อัลบั้มชุดที่ 2 กับความเซอร์ไพร์สที่ซ่อนไว้
เต: เซอร์ไพร์สทั้งอัลบั้มเลยจริงๆ ครับ ไม่ใช่แค่ในมุมของคนฟังนะ มุมของวงเองก็เซอร์ไพร์สมากๆ เราก็ไม่คิดว่า เราจะมีเพลงที่แบบว่า เราตื่นเต้นได้ขนาดนี้ ตื่นเต้นทั้งผลงานและวิธีการ มีคนมากมายมาช่วยในอัลบั้มนี้ บางเพลงผมก็ยังเล่นไม่คล่องเลย มันเกินความสามารถที่เรามี ณ วันนี้ เราต้องพัฒนาด้วยในทางฝีมือตัวเองในอัลบั้มนี้ รวมไปถึงการเรียงเพลงก็ยากขึ้น เราจะจับเพลงอัลบั้มแรกมาเจอกับอัลบั้มสองได้ยังไงในโชว์ นี่ก็เป็นความตื่นเต้นเหมือนกัน ในลำดับต่อไป ตื่นเต้นที่ว่าแฟนคลับที่เคยชอบวงเขาจะรู้สึกยังไงกับอัลบั้มนี้ ซึ่งเราเป็นคนทำ เรารู้อยู่แล้ว แต่เราจะสื่อสารด้วยวิธีการไหนว่า เฮ้ย เรายังเป็น Three Man Down อันนี้แหละสำคัญ และเราทำสิ่งนี้ด้วยความจริงใจ เราไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่เท่ขึ้นหรือดีขึ้น แต่เราตอนนี้เราเป็นแบบนี้นะ ดังนั้นความตื่นเต้นหรือความเซอร์ไพร์สมันอยู่ในอัลบั้มนี้อยู่แล้ว เราทำเองทุกขั้นตอนเลยกิต: เซอร์ไพร์สจนผมยังลืมเลยว่า วันไหนจะปล่อยเพลงอ่ะคิดดู (หัวเราะ)
เต: ย้อนกลับไปที่วิธีการทำงานครับ อย่างเพลง ‘น้อง’ ตอนแรกเป็นเพลงป๊อปมาก่อน พอตอนหลังกลายมาเป็นเพลงร็อก เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง บางทีการเข้าห้องอัดอย่างเพลง ‘ไหนบอกเลิกแล้ว’ ท่อนหลังมันก็เกิดขึ้นในห้องอัดเช่นกัน โดยเราไม่เคยทำสิ่งนี้ในอัลบั้มแรกมาก่อน อัลบั้มแรกเราเคยให้สัมภาษณ์มาตลอดว่า เราทำเพลงออนไลน์ แต่อัลบั้มนี้เราทำเพลงออฟไลน์และออนไลน์ร่วมกัน ดังนั้นมันจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่า ปล่อยเพลงพวกนี้ไปมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันอาจจะมีอะไรใหม่ๆ ให้เราต้องแก้และเติบโตไปเรื่อยๆ
เส็ง: ผมมองอัลบั้มนี้เป็นงาน Experiment การปล่อยเพลงหนึ่งเพลง เราก็จะตั้งสมมติฐานขึ้นมาว่า เพลงนี้มันจะทำงานยังไง และผลลัพธ์ที่ได้กลับมา มันตรงกับสมมุติฐานเรารึเปล่า ถ้ามันตรง เพลงมันก็จะไป เราก็จะทำไปเรื่อยๆ มันก็จะเกิดเป็นเทรนด์ที่อัลบั้มนี้มันทำงาน เราได้แฟนคลับผู้ชายเข้ามาจริง โชว์เราแข็งแรง วงเราดูเข้มข้นกับภาคดนดนตรีมากขึ้น สำหรับผมมันเซอร์ไพร์สในเรื่องนี้ สมมุติฐานในแต่ละเพลงมันตรงเรื่อยๆ มันติ๊กถูกในแบบของเรา
เต: อาจจะไม่ถูกสำหรับทุกคนนะ แต่มันผ่านแล้วสำหรับเรา
กิต: มันทำให้เราปล่อยเพลงที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 มันได้แก้กลยุทธ์ไปได้เรื่อยๆ เหมือนเราได้แฟนคลับผู้ชายแล้ว แต่มองลงไปถ้ายังเห็นแฟนคลับที่เขายืนดูเฉยๆ อยู่ เปรียบง่ายๆ ผู้ชายก็ต้องพาแฟนไปดูบอลให้ได้เว้ย มันจะเยี่ยมไปเลย แต่การไปดูบอลเขาไม่ต้องเข้าใจบอลก็ได้ แค่มีอารมณ์ร่วมกับมัน นั้นคือเป้าหมายของเรา จะทำยังไงให้ผู้หญิงที่ไม่ได้ชอบ ‘ไหนบอกเลิกแล้ว’ ชอบเพลง ‘น้อง’ ได้ มันจะต้องชอบพร้อมกัน นั้นคือสิ่งที่ผมต้องเป้าหมายไว้จุดสูงสุดของอัลบั้มนี้ สุดท้ายผมอยากให้ทุกคนอินเรื่องเดียวกัน แต่อินด้วยจุดร่วมเดียวกัน มาเจอกันให้ได้
สุดท้ายพวกผมอยากให้ทุกคนอินเรื่องเดียวกัน แต่อินด้วยจุดร่วมเดียวกัน มาเจอกันให้ได้
กิต Three Man Down

การเติบโตของ Three Man Down ที่ต้องผ่านด่านอัพเลเวลใหม่ในทุกวัน
กิต: ส่วนตัวผมรู้สึกสนุกเหมือนเดิม เปรียบเทียบเป็นเกมส์ก็คือ ต่อให้ตัวเราจะเลเวลเยอะขึ้น มอนสเตอร์มันก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นมันอัพสกิลตามไปเรื่อยๆ เช่นกัน รู้สึกว่า มันมีบอสที่เก่งกว่าเราเสมอ เปรียบเหมือนการเล่นเกมส์ผมไม่ชอบเล่นเกมส์ที่เก็บเลเวลแล้วไปตีตัวอ่อน ทุกวันนี้เราเล่นเกมเพื่อให้ไปสู้สิบดาวให้ได้ สู้ยี่สิบดาวให้ได้ มันสนุกกว่าการลงไปตบตัวอ่อนๆ แล้วโดนเค้าตบกลับมาอีกที (หัวเราะ)เส็ง: สำหรับผมรู้สึกว่า ผมประสบความสำเร็จกับวงน้อยมากๆ ด้วยความที่วงมันจะมีก้าวต่อไปเสมอครับ เราไม่ค่อยได้สัมผัสกับความยินดีที่มันสำเร็จในจุดนี้ มันไม่มีเลเวลตันเลยแล้วก็เชื่อว่า หลังจากคอนเสิร์ตใหญ่มันก็จะมีก้าวต่อไป เราคงจะไม่ร่วมยินดีกับคอนเสิร์ตใหญ่ได้นานเท่าไหร่หรอก มันก็จะยังมีก้าวต่อไปเรื่อยๆ มันเป็นความรู้สึกที่ดีก็คือดีนะ เราไม่ค่อยรู้สึกประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ แต่ว่าวงมันพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
ตูน: ผมรู้สึกว่า ตอนนี้เรามาถึงจุดที่มันท้าทายมากๆ เราไม่ได้เล่นแบบเพลย์เซฟ เราเล่นแบบเปลี่ยนแผนหมดเลย เราโล๊ะทุกอย่าง สร้างตัวใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง (หัวเราะ) ศัพท์เด็กติดเกมส์มาก ขออภัยผู้อ่านด้วยนะครับ ผมรู้สึกมากว่า วงลงทุนมากในปีนี้ทั้งเรื่องสกิล เรื่องโปรดักชัน ทั้งเรื่องเงินมันก็คือ การออลอินมากๆ มันมันส์ดี ลุ้นด้วย มีโอกาสแป้กนะ แต่สนุกมาก
เต: เหมือนที่เราคุยกัน เราใช้เงินทั้งหมดที่ทำมาจบไปกับอัลบั้มสองแล้ว
เส็ง: แต่ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะ ดีที่ไม่รู้ว่ามันจะไปไหนต่อ ทางที่เราไปมันจะเฟล แต่เราก็พร้อมเสี่ยง
กิต: เอางี้ดีกว่า วงมีเก็บจำนวนนึง ซื้อเป็นของเก็บไว้ เผื่อที่จะลงทุนอีก 5-10 ปี เราจะได้เงินจากตรงนี้ ตอนนี้เราจะขายสิ่งนั้นกินแล้ว (หัวเราะ)
เต: ใช้คำว่า เราไมเ่จ๊งนะ เพราะเราไม่ขายไง การลงทุนเยอะมันไม่ได้การันตี ความสำเร็จหรือความดีของผลงานนะ ยกตัวอย่างผมดูซีรีส์เรื่องนึง ‘Beef’ ผมรู้สึกว่า ผมเห็นนางเอกมันมีชีวิตที่ดี มีบ้านที่รวย ผมกลับมานั่งถามตัวเองและวงว่า เราอยู่ในจุดไหน เรามีชีวิตที่สุขสบาย เรามีแพชชั่นและทำอะไรกันอยู่ ผมได้อย่างนึงไอ้ช่วงชีวิตที่เรา Hustle เราพยายามจะมีก้าวต่อไป พยายามจะสร้างชิ้นงานให้โลกใบนี้ มันเป็นช่วงชีวิตที่มีความหมายที่สุดแล้ว การที่เราเดินทางไปถึงจุดที่มีร้อยล้านพันล้าน เราไม่รู้จะไปไหนต่อเลยนะ มันอาจจะมีเป้าหมายนึงก็ได้ ซึ่งมันไม่มีวันพอ ดังนั้นผมมองว่า ชีวิตพวกเรามันคงสนุกไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีอะไรจะทำ (ยิ้ม)
เส็ง: ถ้าเราเป็นคน Productive เราจะมีอะไรทำ จนกว่าเราจะตายครับ
เต: แม้แต่ตอนแก่ถ้าเรามีพลัง เราก็อยากลุกมาปลูกต้นไม้ มันทำให้ชีวิตมีคุณค่านะ ถ้าเรามองแบบนี้
กิต: มันเป็นไทป์ ของคนเลยนะมนุษย์บางคนก็มีเป้าหมายในชีวิตแค่มีครอบครัวที่สุขสบาย เป็นเป้าหมายที่ใหญ่เลย ใหญ่กันคนละแบบ ผมจัดไทป์วงเราว่า เป็นวงที่ไปเรื่อยๆ มีเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ อาจจะเป็นวงโลภก็ได้ในเชิงความพึงพอใจในผลงานชีวิต แบบไปได้เรื่อยๆ ดูจากสไตล์การเล่นเกมส์ แต่ละคนมันก็ตอบได้ว่าเราเป็นคนแบบนั้น ต่อให้เราเก่ง เราก็จะไปหาตัวที่อ่อนแล้วไปเล่นจนเก่ง ต่อให้เก่งก็จะไปหาคนที่เก่งกว่าชนะเขาให้ได้
เต: ถ้ามันตันแล้วก็ถอดอาวุธ ถอดเสื้อผ้าตีบอสเลยก็ได้ เอามือเปล่าตี
กิต: ใช่ เราก็จะพัฒนาตัวเองและท้าทายกับเป้าหมายไปเรื่อยๆ

ความเป็นธรรมชาติของ Three Man Down ที่เสมอต้นเสมอปลาย
เต: จริงๆ แล้วพวกเราก็ไม่ได้เหมือนเดิมตลอดไปนะ แต่ความเป็นเพื่อน ความเป็นพี่น้องก็ยังเหมือนเดิม แต่ในการทำงาน เราเจอ เรารู้ความจริงมากขึ้น เรารู้หลายอย่างมากขึ้น เราต้องมีทริกมากขึ้นกิต: ต้องบอกว่า ที่บรรยากาศการคุยแบบนี้เพราะเรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว ถ้าเปลี่ยนคนสัมภาษณ์เป็นใครสักคนนึงมันก็อีกแบบเลย เพราะผมรู้มากขึ้น ผมระวังตัวมากขึ้น โลกนี้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เต: ใช่แต่ว่าการเป็นเพื่อน การเป็นพี่น้องยังเหมือนเดิม ผมยังยืนยันตรงนี้เสมอ

ประสบการณ์การไปเทศกาลดนตรี Clocken Flap ที่ Three Man Down ได้รับ
เต: ผม็ตกใจนะ ตอนได้ไป ผมมองว่า ดนตรีมันเป็นเรื่องสากลมากๆ ในระดับอินเตอร์ เขาเปิดใจรับฟัง เขาพร้อมที่จะเจอกับพวกเราโดยที่ไม่ได้สนใจว่าเนื้อร้องจะเป็นแบบไหน อาจจะเป็นเพราะว่าเขาคาดหวังอะไรไม่ได้จากสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ถ้าเป็นคนไทยก็จะคาดหวัง เราเข้าใจเนื้อร้อง กลับกันเวลาเราฟังวงดนตรี ต่างประเทศบางอย่างเราไม่รู้เนื้อร้องเขา เรารู้สึกว่า ดนตรีเขาดี เขาไม่เข้าใจเนื้อร้องเรา เขาฟังดนตรีเรา ผมเลยมองว่า ดนตรีมันเป็นเรื่องสากลในคนทุกคนครับ เขาสนุกกับเรามากๆ เราไม่ได้พยายามจะสื่อสารภาษาไทย ไม่พยายามบอกว่าเรามาจากประเทศไทยนะ แต่ว่าเราคือวงดนตรีวงนึงที่ใช้ภาษาไทย แล้วคุณมาสนุกกับเราแค่นั้นเอง เสียงร้องก็เป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีเหมือนกัน ดังนั้นหากคุณรู้สึกว่าเสียงร้องมันเพราะ คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจมันก็ได้ แต่คุณก็สนุกกับเนื้อร้องหรือเมโลดี้ของพวกเราได้ มันค่อนข้างสนุกมาก ในการไปเล่นเฟสติวัลในครั้งนั้นกิต: ผมเองก็ไม่ได้อยากไปแล้วบอกว่า เราเป็นคนไทยนะเว้ย ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ผมอยากไปเล่นในแบบที่เราอยากจะเล่นดนตรีอ่ะ วงเราเป็นแบบนี้ ปัญหาในการสื่อสารช่างมันไปก่อน บางท่อนก็ต้องพูดเราก็ต้องทำให้ได้ แต่ในเพลงบางเพลงที่ฟังก์ชั่นแล้วอยู่ในไทย ไม่มีพูดไม่มีร้อง มันไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยคือ ไวป์ ไวป์แบบเชี่ยทุกคนตั้งใจมองคอกีต้าร์ไอ้ตูน มันเล่นอะไร เขาตั้งใจดูมือเบสแบบเช็กงาน ภาษานักดนตรีเช็กงาน มันน้อยมากในเมืองไทย มันสนุกมากๆ พูดถึงระบบการจัดการมันอีกระดับนึงเลย ผมรู้สึกว่า เอเจนซี่ในไทยหรือผู้จัดในไทยควรไปมากๆ ทำไมเขาถึงทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้ ทำไมการจัดคลื่นไมโครโฟน มันละเอียดขนาดนี้ การแบ่งห้องใช้งาน เวลาที่ออกก็ต้องออกจริงๆ นะ 5 นาทีเขาก็ไม่ให้ จังหวะที่คุณต้องออก คุณต้องออก บนเวทีสายทุกอย่างดูแลอย่างดี ก่อนขึ้นเวทีเขาไล่เช็คเลย มีกระดาษนึงใบมีหน้าผมอยู่ ใช่ผมไหม บอกใช่ หันมาเช็ก คลื่นตรงนะ ถ้าไม่ตรงเขาก็ไม่ให้ผมขึ้นเวทีนะ อันนี้เป็นทีมเวทีกลางเลย เขาต้องละเอียดมากๆ
ตูน: เขาจะไม่ให้ใช้เอียร์ของเราเอง เขาจะจัดการแบบทุกอย่างไว้หมดแล้ว เวทีนี้ใช้ได้แค่นี้นะ เอาไมค์มาเองก็ใช้ไม่ได้ แค่บอกมาเดี๋ยวเตรียมให้
เต: ผมว่าไม่ใช่ว่า เฟสติวัลในไทยทำไม่ได้นะ เราแค่ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดขนาดนั้นมากกว่า ผมว่ามันพัฒนากันได้ ถ้าทำได้ทุกอย่างมันจะดีมากๆ เลย ดังนั้นการไปงานนี้เราไม่ได้แค่ไปหาแฟนเพลงนะ เราไปซื้อประสบการณ์ทุกอย่างของวงเราเลย ทุกอย่างมันเป๊ะไปหมดเลย
วงอยากทำเพลงภาษาอังกฤษหรือไม่
เต: เรากลับมาคุยเรื่องนี้เหมือนกัน มันก็มีฟีดแบ็คจากเอเจนซี่ต่างประเทศ ทำไมไม่ทำเพลงภาษาอังกฤษ เราก็เครียดกันสองสามวันเลย เราอยากเป็นสิ่งนั้นในตอนนี้รึเปล่า ถ้าเรายังไม่อยากเป็น ไม่เป็นไร เอาไว้เป็นตัวเลื่อกในอนาคตได้ แต่ตอนนี้เราเล่นในบ้าน เราจะเล่นยังไงให้ดีที่สุดวันนึง ถ้าเราอยากจะโตกว่าเดิมแล้ว ไปเล่นนอกบ้าน ให้มันเป็นภารกิจต่อไปกิต: สำหรับมุมผมมองว่า มันคือการลงทุน สมมุติว่า Three Man Down เวอร์ชั่น ฝนตกไหม เขาเรียกเราไปเพราะฝนตกไหม ภาษาไทย ก็ไม่ใช่ว่า ภาษาอังกฤษแล้วเขาจะเรียกไป ถ้าเราไม่มีภาระ เราไม่มีค่าย เราอยู่กันเองทำภาษาอังกฤษ เรายินดีเลย แต่ตอนนี้ความเสี่ยงมันเยอะ พวกผม 4 คนไม่เสี่ยง แต่คนที่เสี่ยงมันคือทีมงานของเรา ถ้าวันนึงเราตกลงกันแล้วว่า 30 ชีวิต เราจะเสี่ยงแล้วนะ ถ้าทุกคนตกลงเราค่อยทำ แต่สำหรับอัลบั้มที่ 2 เราจะเดินเวย์นี้นะ จบอัลบั้มนี้ค่อยว่ากัน
เต: เราทำหลายมิชชั่นพร้อมกันไม่ได้ ให้มันเคลียร์ไปที่ละช่องดีกว่า
ร่างกายที่อ่อนล้ากับการพักผ่อนที่ได้ใช้ร่วมกันเกือบ 24 ชั่วโมง
กิต: สำหรับผมมันชินไปแล้ว มันชินมากเลย กับการมีชีวิตแบบนี้ ผมโคตรชอบบรรยากาศไม่ค่อยได้นอนแล้วทำงาน ผมไม่ชอบบรรยากาศการได้เล่นเกมอ่ะ แบบเก็บเลเวลกับไอ้โอมเล่นเกมกันจนเช้ามันก็สนุกอยู่ 2-3 วันอ่ะ แต่ถ้าเราทำงาน เราพยายามทำงานให้ได้ดี แต่กูเวลาน้อย แต่ต้องทำให้ได้ดีนะ และทำได้อย่างที่ตั้งไว้ มันสนุก ผมชอบบรรยากาศตอนนี้ ผมชอบมากๆ เดี๋ยวมีงานต่อ มีคอนเสิร์ต มีอัลบั้ม มีเอ็มวี ปล่อยเพลง โคตรมันส์ชีวิต ช่วงทีผมดาวน์ไปคือช่วงที่ตัวเองแขนหัก ไอ้สิ่งนี้มันมาเจียดสมองของผม โคตรเซ็ง แต่ตอนนี้ผมกลับมารู้สึกดีมากๆ แขนหายแล้วเต: ต้องยอมรับก่อนว่า การที่เรามีงานเยอะแบบนี้เราต้องสูญเสียอะไรไปเยอะเหมือนกัน เวลาที่อยู่กับครอบครัว เวลาไปเจอเพื่อนเก่าๆ ที่ไม่ใช่วง อาจจะมองว่า ตัวผมเปลี่ยนไป ผมยอมรับตรงนั้นนะ ตรงนี้ผมพูดเลยว่า ผมรู้สึกกับทุกคนเหมือนเดิม แต่ผมไม่มีเวลาไปเจอพวกคุณเท่านั้นเอง แต่ในการทำงาน ทุกวันนี้เวลาทำงานเสร็จกลับบ้านมา ผมก็ทำตัวให้ยุ่งเหมือนเดิม ซึ่งจริงๆ มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมชินกับการที่ผมต้องทำอะไรสักอย่างให้เกิดประโยชน์ พวกเราทุกคนแทบจะเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว วันนี้อยากจัดบ้าน วันนี้อยากไปทำโน้นทำนี่ ดังนั้นเวลาที่เราจะนอนโง่ๆ เบื่อๆ ดูซีรีส์มันอาจจะมีนะ แต่เราก็ไปทำก่อนนอน วันละครึ่งชั่วโมงแล้วก็นอน ทุกวันนี้ซีรีส์เรื่องนึง ผมดูเป็นเดือน
เต: มันก็ทำให้เราผ่อนคลายก่อนนอน เพราะเราดูไม่จบ แล้วไม่ไปฟังคนอื่นเล่าด้วย วันละ 10 นาที ผมแค่อยากรู้ว่า ตัวละครตัวนี้เป็นอย่างไร เราก็เก็บไว้ดูหลายๆ วัน ความสุขตรงนั้นเราก็อยากให้มันอยู่ได้นานๆ ไม่อยากให้มันรวดเดียว
ตูน: ก่อนหน้านี้เวลาไม่ค่อยพอ แต่ช่วงนี้เวลามันโอเคขึ้นนะ เราจัดการอะไรลงตัวขึ้น แต่ก่อนต้องบิน 8 โมงเช้า ตื่นตี 5 เดี๋ยวนี้เราก็ขยับเวลาไปบ่ายโมง ตื่นสิบโมงแทน พวกรถตู้ เราก็อัพเกรดรถตู้นอนได้สบายๆ ด้วยความที่ผมเก็บตัวด้วย ผมไม่ได้โดนดูดเวลาไปเยอะ ผมไม่ได้มีสังคมเยอะ มันเลยไม่ค่อยต่างเท่าไหร่
เส็ง: ผมจะคล้ายๆ ของเต ปกติเป็นคนโปรดักทีฟอยู่แล้ว งานวงจบ ผมก็หาโน้นหานี่ทำไปเรื่อย อาจจะโชคดี ที่เราเป็นคนที่มีความสุขได้กับสิ่งที่มันง่ายๆ เช่นช่วงนี้เวลาไม่พอ เราก็ไปอยู่กับครอบครัว อยู่บ้านมันก็กลายเป็นว่าเราได้พักผ่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกไปเที่ยวไปไหน


ความลับรถตู้ Three Man Down ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
กิต: เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ การเล่นเกมส์บนรถอย่างวง ‘Mirr’ ก็มาถามว่า Set up ต้องทำยังไงบ้าง ผมก็แนะนำไปว่า ต้องเปลี่ยนหม้อแปลงก่อน อันนี้คือยากสุดแล้ว ต้องดีลกับรถตู้ให้ได้เต: คือพวกผมจะมี ‘พี่ต้น’ เป็นคนขับรถตู้ให้วงประจำ เราก็ไปบอกเขาว่า พี่เปลี่ยนแบตเตอรี่รถให้หน่อยได้ไหม พี่เปลี่ยนหม้อแปลงให้ได้รึเปล่า แต่พวกเราออกเงินหมดเลยนะ ทีนี้พอไฟมันถึงแล้วมันเสียบปลั๊กบ้าน มันต้องไปทำพอร์ททุกอย่างเลยบนรถ แม้แต่เก้าอี้ที่เรานั่งก็ขอเปลี่ยน เอาไว้ที่รถพี่เขาเลย เขายอมหมดเลย
กิต: พอร์ท USB-C ไฟมันไม่พอ พวกเราก็ไปให้พี่เขาทำ ตอนนี้เราเห็นจุดบอดว่า มันยังไม่ใช่ Smart TV เรากำลังจะเปลี่ยนแปลงต่อเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดี ทีนี้จะซัดเกมส์มวยปล้ำได้เลย ผมก็เลยจะไปซื้อจอคอมมาแปะเข้าไป เกมส์มันอัพเกรด เราก็ต้องอัพเกรดตามครับ (หัวเราะ)

Playstation กับความผูกพันธ์ของเด็กติดเกมส์ที่แท้จริง
กิต: อันนี้เป็นท็อปปิกสำคัญเลย ผมอยู่ในกลุ่มเด็กเล่นเกมส์ ผมเห็นบางกลุ่มเขาตั้งคำถามสรุปแล้วไอ้ที่วง Three Man Down มันติดเกมส์เขาจ้างรึเปล่า เรื่องของเรื่องก็คือ ผมไปถ่ายทำโฆษณาตัวนั้นน ถ่ายทำไปเมื่อปีกว่าแล้ว แต่ช่วงนั้นเพลย์สเตชั่นไม่สามารถกระจายของทั่วโลกได้ทัน เขาเลยระงับการปล่อยก่อน พวกผมซื้อเครื่องกันอยู่แล้ว ไม่ได้ไปแย่งใครด้วยนะ ซื้อจริงๆ ผมก็ต่อคิวเหมือนทุกคนแหละ อย่างผมซื้อจากประเทศฟิลิปปินส์ ทีนี้เราก็เล่นของเรามา ติดเกมส์ Call Of Duty มาก ี้พอมันเปิดทัวร์คอนเสิร์ตมา เราก็อยากเล่นเกมส์นี้บนรถ เราก็เลยไปสั่งจอมา เราก็หิ้วขึ้นเครื่องบินเต: แล้ว ‘หนึ่ง’ผู้จัดการวงถ่ายรูปเดียวเลย
เส็ง: มันเป็นมุมโฆษณาอ่ะ ไม่ได้ตั้งใจ

กิต: ถ้าเป็นวิชา AD101 ภาพนี้ได้เต็ม 10 แล้ว แต่เขาไม่ได้จ้างเรานะ ทุกคนที่ข้องใจสามารถทักไปถามร้านขายกระเป๋าได้ พวกผมอ่ะ ไปขอซื้อจริงๆ
ตูน: ทักไปถามได้เลยเพราะผมทะเลาะกับร้านขายกระเป๋า (หัวเราะ) ส่งมาให้ไม่ครบ
กิต: แล้วถ้าไม่เชื่ออีก ไปทักร้านขายจอเลย เพราะผมซื้อจอมาผิด 3 จอ หมดไปสองหมื่นกว่า
เต: แล้วก็ไปซื้อ Pocket WiFi ผิดอีก ไปถามได้เลยค่ายสีเขียวอ่ะ
เส็ง: แล้วนึกภาพดูครับ กว่ามันจะเล่นได้ใช้เวลาทั้งหมด 2 วันหลังจากที่เอาขึ้นเครื่องบินวันนั้น แบกไปถึงไม่ใช่ว่าต่อเล่นได้เลยนะ เน็ตไม่มีเล่นไม่ได้ ต้องแชร์เน็ตจากมือถือ ไปทำโน้นทำนี่กว่าจะได้เล่น
เต: ย้อนกลับไปคำถามแรก คนที่บอกว่า เขาจ้างเรารึเปล่า ถ้าจ้างก็ดี จ้างได้ ตอนนี้ยังไม่ได้จ้าง พอรูปนั้นมันปล่อย ออกไปมันก็เลยเป็นไวรัล
กิต: มันต่อเนื่องจากผมกับเตด้วย กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ผมกับเต ติดโควิด แล้วผมดูวันที่ต้องไปอยู่กัน เราจะคาบเกี่ยวกับเกม Elden Rings ออกพอดี เราอยู่ 14 วันเกมส์มันจะออกว่ะ เรามีเวลาเล่น 10 วัน ผมนัดไปด้วยกัน ยกเครื่องไปเลย
เต: มันคือความสุขเดียว ในการกักตัวของเราสองคนเลย เราต้องเอาเครื่องเกมส์หรือทุกอย่างที่มีความสุข เข้าไปในนั้น เราต้องมองหน้ากันทุกวัน หลังจากนั้นเราก็เล่นมันแบบตาแตก 18 ชั่วโมง
กิต: ผมโทรบอกให้คนส่งแผ่นมาให้อีก 2 แผ่น มีคนมาส่งปุ้ป ชีวิตเราจบสิ้นตั้งแต่วันนั้นแหละ 10 วันไม่ได้นอนแล้ว เรียบร้อย ตี 4 นาฬิกาเตือน เตบอกว่า กิต ตี 4 แล้ว มันใช่ประเด็นรึเปล่า
เต: ผมเลยตอบว่า ไม่ใช่ประเด็นแล้ว เล่นต่อได้ (หัวเราะ) เล่นกันจนเช้า
กิต: 1 มื้อจะมีข้าวให้ 2 กล่อง ผมกับเต หน้าห้องมีข้าววางไว้อยู่ 6 กล่อง พยาบาลเคาะห้อง คิดว่าตาย (หัวเราะ) 1 วันไม่เปิดประตูออกไปเอาข้าวเลย ผมก็เลยเซลฟี่กับเตว่า เราผ่าน 10 วันนี้กันได้แล้วนะ
เต: แคปชั่นมันประมาณว่า ถ้าไม่มีแกเนี่ย 10 วันนี้ เราอยู่ไม่ได้เลยนะ แย่เลยชีวิตขาดแกไม่ได้เลย … Playstation เรียบร้อยไวรัลเลย
กิต: เขาต้องจ่ายเราตั้งนานแล้วนะ ถ้าจะบอกว่า เราเป็นพรีเซ็นเตอร์เนี่ย แต่เขาแค่ปล่อยคลิปออกมาวันที่รีสต็อกเฉยๆ แล้วจังหวะมันพอดีกัน
เต: ฉะนั้นแล้วเราตอบได้เลยว่า อันนั้นเราทำด้วยนิสัยของพวกเราอยู่แล้ว เราติดเกมส์ แค่นั้นเลย (หัวเราะ)
อิมแพ็ค อารีน่า กับ ความทรงจำของ Three Man Down ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ตูน: รู้สึกว่า จินตนาการล้ำเลิศที่เคยคิดไว้มันกำลังจะได้ทำแล้ว เหมือนเวลาเราไปดู ตั้งแต่เด็กๆ สถานที่นี้มันจัดได้หลายอย่าง เขาทำแบบไหน เราดูมาหมด ในที่สุด เราก็จะได้สร้างสิ่งนี้สักที เหมือนเรากำลังจะได้สร้างบ้านในอิมแพ็ค อารีน่า อย่างที่ผมบอก ปีนี้มันคือปีแห่งการลงทุน คอนเสิร์ตนี้เราลงทุน ลงแรงไปเยอะ
กิต: ผมว่าบางคนอาจจะไม่รู้ การจัดคอนเสิร์ตใหญ่ๆ สักหนึ่งทีมันใช้เงินลงทุนเยอะ แต่ว่าชีวิตหลายชีวิตที่อยู่เบื้องหลัง การลงทุน เวลามันสะท้อนกลับมา มันจะมาที่หัวก่อน คนที่อยู่ที่หัวมันก็จะได้ เพราะฉะนั้นเราต้องโคฟเวอร์สิ่งที่อยู่ข้างหลังด้วย ถ้ามันต้องใช้เวลา 3 เดือน เราก็ต้องโคฟเวอร์ 20 ชีวิตให้อยู่ให้ได้ใน 3 เดือน แต่ว่าการที่จะได้อะไรกลับมามันคือวง มันต้องแลก เราต้องให้เขามีชีวิตที่ดีด้วย เราก็ต้องลงทุนไปด้วยกัน มันดูโหดร้าย แต่มันแก้ไขด้วยโครงสร้างประเทศได้
เต: ผมมองเพิ่มเติมอีกนิดนึง ผมมองว่า มันอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตเราก็ได้ เราไม่รู้ว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต การที่เรา ALL IN กับสิ่งนี้ ผมรู้สึกว่า มันคือแนวคิดของเราในวัยนี้ มันอาจจะเป็นแค่ช่วงนี้ก็ได้นะ ดังนั้นมีอะไรใส่ให้หมด
กิต: ที่บอกว่าครั้งเดียวในอิมแพคไม่ได้หมายความว่า ครั้งสุดท้ายนะครับ ครั้งต่อไปผมจะจัดให้ใหญ่ขึ้นน เหมือนที่ผมเกริ่นไป พวกเราไม่เคยเล่นเกมส์อยู่ที่เดิม ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสได้จัดอีก ผมจะไปให้ใหญ่กว่าเดิม ผมจะไม่กลับมาเล่น ถ้ากลับมาที่เดิม มันจะไม่ใช่วงเรา มันจะเป็นเพียงแค่คอนเซปต์คอนเสิร์ต
ตูน: ทักไปถามได้เลยเพราะผมทะเลาะกับร้านขายกระเป๋า (หัวเราะ) ส่งมาให้ไม่ครบ
กิต: แล้วถ้าไม่เชื่ออีก ไปทักร้านขายจอเลย เพราะผมซื้อจอมาผิด 3 จอ หมดไปสองหมื่นกว่า
เต: แล้วก็ไปซื้อ Pocket WiFi ผิดอีก ไปถามได้เลยค่ายสีเขียวอ่ะ
เส็ง: แล้วนึกภาพดูครับ กว่ามันจะเล่นได้ใช้เวลาทั้งหมด 2 วันหลังจากที่เอาขึ้นเครื่องบินวันนั้น แบกไปถึงไม่ใช่ว่าต่อเล่นได้เลยนะ เน็ตไม่มีเล่นไม่ได้ ต้องแชร์เน็ตจากมือถือ ไปทำโน้นทำนี่กว่าจะได้เล่น
เต: ย้อนกลับไปคำถามแรก คนที่บอกว่า เขาจ้างเรารึเปล่า ถ้าจ้างก็ดี จ้างได้ ตอนนี้ยังไม่ได้จ้าง พอรูปนั้นมันปล่อย ออกไปมันก็เลยเป็นไวรัล
กิต: มันต่อเนื่องจากผมกับเตด้วย กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ผมกับเต ติดโควิด แล้วผมดูวันที่ต้องไปอยู่กัน เราจะคาบเกี่ยวกับเกม Elden Rings ออกพอดี เราอยู่ 14 วันเกมส์มันจะออกว่ะ เรามีเวลาเล่น 10 วัน ผมนัดไปด้วยกัน ยกเครื่องไปเลย
เต: มันคือความสุขเดียว ในการกักตัวของเราสองคนเลย เราต้องเอาเครื่องเกมส์หรือทุกอย่างที่มีความสุข เข้าไปในนั้น เราต้องมองหน้ากันทุกวัน หลังจากนั้นเราก็เล่นมันแบบตาแตก 18 ชั่วโมง
กิต: ผมโทรบอกให้คนส่งแผ่นมาให้อีก 2 แผ่น มีคนมาส่งปุ้ป ชีวิตเราจบสิ้นตั้งแต่วันนั้นแหละ 10 วันไม่ได้นอนแล้ว เรียบร้อย ตี 4 นาฬิกาเตือน เตบอกว่า กิต ตี 4 แล้ว มันใช่ประเด็นรึเปล่า
เต: ผมเลยตอบว่า ไม่ใช่ประเด็นแล้ว เล่นต่อได้ (หัวเราะ) เล่นกันจนเช้า
กิต: 1 มื้อจะมีข้าวให้ 2 กล่อง ผมกับเต หน้าห้องมีข้าววางไว้อยู่ 6 กล่อง พยาบาลเคาะห้อง คิดว่าตาย (หัวเราะ) 1 วันไม่เปิดประตูออกไปเอาข้าวเลย ผมก็เลยเซลฟี่กับเตว่า เราผ่าน 10 วันนี้กันได้แล้วนะ
เต: แคปชั่นมันประมาณว่า ถ้าไม่มีแกเนี่ย 10 วันนี้ เราอยู่ไม่ได้เลยนะ แย่เลยชีวิตขาดแกไม่ได้เลย … Playstation เรียบร้อยไวรัลเลย
กิต: เขาต้องจ่ายเราตั้งนานแล้วนะ ถ้าจะบอกว่า เราเป็นพรีเซ็นเตอร์เนี่ย แต่เขาแค่ปล่อยคลิปออกมาวันที่รีสต็อกเฉยๆ แล้วจังหวะมันพอดีกัน
เต: ฉะนั้นแล้วเราตอบได้เลยว่า อันนั้นเราทำด้วยนิสัยของพวกเราอยู่แล้ว เราติดเกมส์ แค่นั้นเลย (หัวเราะ)
คอนเสิร์ตใหญ่ กับ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากได้รู้ว่าต้องจัด
กิต: อย่างแรกเลยรู้สึกดีใจและรู้สึกตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวเหมือนกัน กลัวทำงานไม่ทัน กลัวไม่สามารถรีดความต้องการได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ในหัวผมต้องการเยอะมากๆ ต้องการโน้นนี่ แต่ก็ดีใจ จริงๆ คอนเสิร์ตมันต้องจัดนานแล้ว แต่โดนเลื่อนมาเรื่อยๆ เพราะโควิดด้วย จนมันมารวบกับอัลบั้มสองไปด้วย วงไม่อยากให้เป็นคอนเสิร์ตของอัลบั้มละ วงเลยให้เป็นคอนเสิร์ตของ Three Man Down เลยดีกว่า เราก็เลยแบบต้องเตรียมอะไรเยอะมาก เวลามันก็ค่อยๆ น้อยไปเรื่อยๆ ด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่เราต้องเจอ มันยังไม่ค่อยลงตัวด้วย มันอยู่ในช่วงที่เขย่าหลายๆ อย่าง มันทำงานค่อนข้างลำบาก การซ้อม การคิดโชว์ก็ยากไปอีกอิมแพ็ค อารีน่า กับ ความทรงจำของ Three Man Down ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ตูน: รู้สึกว่า จินตนาการล้ำเลิศที่เคยคิดไว้มันกำลังจะได้ทำแล้ว เหมือนเวลาเราไปดู ตั้งแต่เด็กๆ สถานที่นี้มันจัดได้หลายอย่าง เขาทำแบบไหน เราดูมาหมด ในที่สุด เราก็จะได้สร้างสิ่งนี้สักที เหมือนเรากำลังจะได้สร้างบ้านในอิมแพ็ค อารีน่า อย่างที่ผมบอก ปีนี้มันคือปีแห่งการลงทุน คอนเสิร์ตนี้เราลงทุน ลงแรงไปเยอะ
กิต: ผมว่าบางคนอาจจะไม่รู้ การจัดคอนเสิร์ตใหญ่ๆ สักหนึ่งทีมันใช้เงินลงทุนเยอะ แต่ว่าชีวิตหลายชีวิตที่อยู่เบื้องหลัง การลงทุน เวลามันสะท้อนกลับมา มันจะมาที่หัวก่อน คนที่อยู่ที่หัวมันก็จะได้ เพราะฉะนั้นเราต้องโคฟเวอร์สิ่งที่อยู่ข้างหลังด้วย ถ้ามันต้องใช้เวลา 3 เดือน เราก็ต้องโคฟเวอร์ 20 ชีวิตให้อยู่ให้ได้ใน 3 เดือน แต่ว่าการที่จะได้อะไรกลับมามันคือวง มันต้องแลก เราต้องให้เขามีชีวิตที่ดีด้วย เราก็ต้องลงทุนไปด้วยกัน มันดูโหดร้าย แต่มันแก้ไขด้วยโครงสร้างประเทศได้
เต: ผมมองเพิ่มเติมอีกนิดนึง ผมมองว่า มันอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตเราก็ได้ เราไม่รู้ว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต การที่เรา ALL IN กับสิ่งนี้ ผมรู้สึกว่า มันคือแนวคิดของเราในวัยนี้ มันอาจจะเป็นแค่ช่วงนี้ก็ได้นะ ดังนั้นมีอะไรใส่ให้หมด
กิต: ที่บอกว่าครั้งเดียวในอิมแพคไม่ได้หมายความว่า ครั้งสุดท้ายนะครับ ครั้งต่อไปผมจะจัดให้ใหญ่ขึ้นน เหมือนที่ผมเกริ่นไป พวกเราไม่เคยเล่นเกมส์อยู่ที่เดิม ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสได้จัดอีก ผมจะไปให้ใหญ่กว่าเดิม ผมจะไม่กลับมาเล่น ถ้ากลับมาที่เดิม มันจะไม่ใช่วงเรา มันจะเป็นเพียงแค่คอนเซปต์คอนเสิร์ต

แฟนคลับต้องเตรียมอะไรไปบ้าง คอนเสิร์ตนี้
เต: ผมรู้สึกว่าเตรียมหัวไปโล่งๆ ไปสนุกกับสิ่งที่เราจะเสิร์ฟในวันนั้นดีกว่ากิต: พูดง่ายๆ ไปกินโอมากาเสะก็ทำท้องให้โล่งๆ ไป ไม่ต้องรู้อะไรเยอะเลย เดี๋ยวพวกเราเล่าให้ฟังเอง
เต: จะทำอะไรก็ทำมาให้พร้อม ปล่อยตัวปล่อยใจเลย วันนั้น พวกเราจะค่อยๆ พาคุณไปรู้จักกับ Three Man Down เวอร์ชั่น Impact Area เอง มันเป็นอีกเวอร์ชั่นนึงที่แฟนคลับไม่เคยเจอ วันนั้นคือเราในแบบที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน
กิต: ผมว่าถ้าเป็นแฟนคลับจริงๆ เขาจะเก็ทแล้วนะ เพราะว่าเวลาไปเล่นเฟสติวัลอันนี้เซ็ตแบบนี้ อันนี้ร้านนั่งชิว พอมันเป็น Impact Area มันจะเป็นแบบนี้ ซึ่งพวกเรายังไม่เคยเห็นเลย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะเป็นยังไง เหมือนกันก็ต้องรอดูกันครับ