ในยุคสมัยที่ผู้คนต่างใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการท่องโลกบนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร การแบ่งปันเรื่องราว การฟังเพลง หรือชมวิดีโอเพื่อผ่อนคลาย ‘มีม’ ก็ค่อยๆ ก้าวขาเข้ามาอย่างอุกอาจและเริ่มแย่งพื้นที่ความสนใจขนาดใหญ่ไปจากผู้คนอย่างรวดเร็ว จนในปัจจุบันกลายเป็นสื่อกลางที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ จากทุกคนทั่วโลก
ตามพจนานุกรมของ The American Heritage มีม เป็นรูปแบบทางวัฒนธรรมหรือความคิดที่ถูกถ่ายทอดผ่านการเขียน การพูด ท่าทาง หรือภาพล้อเลียนที่มีความหมายเชิงตลก โดยในภาษาอังกฤษ มีม เกิดจากการผสมคำว่า ‘ยีน’ (gene) ที่หมายถึงการสืบทอดทางพันธุกรรม และคำภาษากรีก ‘มิเมมา’ (mimēma) ที่แปลว่าการเลียนแบบ จึงทำให้เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกัน มีมจึงเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อเลียนบางสิ่งอย่างขบขันและถูกส่งต่อไปอย่างแพร่หลายในวงกว้าง
ตามพจนานุกรมของ The American Heritage มีม เป็นรูปแบบทางวัฒนธรรมหรือความคิดที่ถูกถ่ายทอดผ่านการเขียน การพูด ท่าทาง หรือภาพล้อเลียนที่มีความหมายเชิงตลก โดยในภาษาอังกฤษ มีม เกิดจากการผสมคำว่า ‘ยีน’ (gene) ที่หมายถึงการสืบทอดทางพันธุกรรม และคำภาษากรีก ‘มิเมมา’ (mimēma) ที่แปลว่าการเลียนแบบ จึงทำให้เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกัน มีมจึงเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อเลียนบางสิ่งอย่างขบขันและถูกส่งต่อไปอย่างแพร่หลายในวงกว้าง

แม้จะนิยมพูดกันว่ามีมเป็นสื่อสมัยใหม่ แต่หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว พบว่าใน The Judge นิตยาสารเสียดสีสังคมของสหรัฐอเมริกาฉบับปี 1921 ได้มีการตีพิมพ์ภาพการ์ตูน ‘ความคาดหวังเทียบกับความเป็นจริง’ ที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขันที่คล้ายคลึงกับผู้คนในยุคปัจจุบัน แม้ตามคำจำกัดความภาพนี้อาจจะยังไม่ใช่มีม เนื่องจากไม่ได้มีการเผยแพร่อย่างแพร่หลาย แต่ก็สามารถกล่าวได้ว่านี้คือจุดกำเนิดสำคัญที่ทำให้ผู้คนเริ่มรู้จักและหันมาสนใจมันอย่างแท้จริง
ในช่วงปี 1990 มีมเริ่มกลายเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเมื่อผู้คนเริ่มมีการติดต่อสื่อสารกันผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ของญี่ปุ่นเริ่มมีการผลิตอิโมจิต่างๆ ขึ้นมา ผู้คนจึงเริ่มส่งอิโมจิสีหน้าต่างๆ หากันเพื่อย้ำถึงความรู้สึกในข้อความ ก่อนจะค่อยๆ วิวัฒนาการเป็นการส่งภาพ และเริ่มสร้างมีมขึ้นในที่สุด
ในช่วงปี 1990 มีมเริ่มกลายเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเมื่อผู้คนเริ่มมีการติดต่อสื่อสารกันผ่านคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ของญี่ปุ่นเริ่มมีการผลิตอิโมจิต่างๆ ขึ้นมา ผู้คนจึงเริ่มส่งอิโมจิสีหน้าต่างๆ หากันเพื่อย้ำถึงความรู้สึกในข้อความ ก่อนจะค่อยๆ วิวัฒนาการเป็นการส่งภาพ และเริ่มสร้างมีมขึ้นในที่สุด

มีมเริ่มเข้ามาเป็นวัฒนธรรมออนไลน์กระแสหลักอย่างแท้จริงในช่วงปี 2010 ที่ผู้คนมักนำภาพต่างๆ มาล้อเลียนและตัดแต่งใส่ข้อความให้มีความตลกขบขัน โดยต้นกำเนิดของมีมยอดนิยมเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากช่วงต้นทศวรรษ 2000 หรือปลายยุค 90s ซึ่งมีมที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้นได้แก่ Pepe กบสีเขียวหน้าตากวนประสาทที่มีต้นกำเนิดมาจากการ์ตูนเรื่อง Boy's Club ของ Furie, Rage Comic การ์ตูนที่มักจะแสดงความโกรธหรืออารมณ์ต่างๆ ผ่านการวาดอย่างลวกๆ, และภาพคานเย่ เวสต์แย่งไมก์ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ในงานประกาศรางวัล MTV Video Music Awards ปี 2009 เป็นต้น
แม้มองเผินๆ มีมบนอินเทอร์เน็ตอาจเป็นเพียงแหล่งความบันเทิงเบาๆ ที่แพร่หลาย เป็นช่องทางให้ผู้คนได้แสดงออกความคิดเห็น ความรู้สึก ความขบขันผ่านเทมเพลตข้อความ รูปภาพ และวิดีโอที่สามารถดัดแปลงได้อย่างสนุกสนาน แต่ในอีกด้านหนึ่ง พวกมันยังเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สะท้อนความคิดและจิตใจของผู้คนในสังคมได้อีกด้วย
แม้มองเผินๆ มีมบนอินเทอร์เน็ตอาจเป็นเพียงแหล่งความบันเทิงเบาๆ ที่แพร่หลาย เป็นช่องทางให้ผู้คนได้แสดงออกความคิดเห็น ความรู้สึก ความขบขันผ่านเทมเพลตข้อความ รูปภาพ และวิดีโอที่สามารถดัดแปลงได้อย่างสนุกสนาน แต่ในอีกด้านหนึ่ง พวกมันยังเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สะท้อนความคิดและจิตใจของผู้คนในสังคมได้อีกด้วย

โดยทั่วไปมีมมักกล่าวถึงหัวข้อที่ยากต่อการพูดคุย เช่น ความขัดแย้งทางการเมือง แรงกดดันทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ที่รับมือได้ยาก แม้ภาวะอันหนักอึ้งที่พบเจอจะทำให้รู้สึกท้อแท้ไปบ้าง แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ใช้วิธีแบ่งปันความรู้สึกบางส่วนออกมาผ่านการถ่ายทอดในมีม โดยหวังว่าจะมีคนผ่านมาเข้าใจและหัวเราะไปกับความตลกร้ายเหล่านี้ไปด้วยกัน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าการแสดงออกผ่านมีมทุกครั้งจะได้ผล
“เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจมีมทุกอันที่เราแชร์”
การเสพมีมในรูปแบบหรือเรื่องราวต่างๆ สามารถบ่งบอกความรู้ ความเข้าใจ และความเป็นตัวตนของผู้คนได้ เนื่องจากการทำความเข้าใจมีมเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้ในระดับหนึ่ง บ่อยครั้งที่เราพบเจอมีมต่างๆ แต่ไม่สามารถแม้แต่จะยิ้มมุมปากให้กับมันได้เลย บ้างอาจจะเป็นข้อมูลที่ลึกเกินไป บ้างอาจจะเป็นข้อมูลที่ไกลเกินไปจากสังคมที่คุณอยู่ และถึงแม้บางครั้งเราอาจจะเข้าใจ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหัวเราะหรือเห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นได้
เช่นเดียวกับสื่อทั่วไป มีมเป็นเพียงเรื่องตลกวงในเวอร์ชันดิจิทัล ที่ผู้คนยังคงเสพผ่านการใช้ตรรกะและกรอบความคิดมาตรฐานบางอย่างในสังคมของตัวเองอยู่ หลายครั้งที่เราเห็นมีมนำเรื่องปัญหาต่างๆ ในสังคม เช่น เรื่องความเหลื่อมล้ำทางเพศ การเหยียดถิ่นฐาน หรือการเห็นต่างทางการเมืองมาเล่นเพื่อความตลกขบขัน แต่กลับทำลายความรู้สึกของใครหลายๆ คนได้ เพราะความสนุกสนานและเคยชินทำให้หลายครั้งเราหลงลืมไปว่า มีม ก็เป็นเครื่องมือบนอินเทอร์เน็ตที่สามารถให้ความบันเทิงและบั่นทอนผู้คนได้เช่นกัน
แม้การเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องตลกวงในคือการยืนยันว่าได้เป็นที่ยอมรับทางสังคม แต่บางครั้งเราอาจต้องถอยออกมามองและต่อสู้กับความคิดตัวเองให้ดีว่าเราเห็นด้วยกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่ และเรามีมุมมองอย่างไร ความสนุกของเราวันนี้จะทำร้ายใครหรือเปล่า เพราะมีมที่เราแชร์ไปถือเป็นการยืนยันตำแหน่งความคิด ความเชื่อ และตัวตนของคุณในสังคม วันนี้มันอาจทำให้คุณรู้สึกสนุกแทบตาย แต่ในอนาคตมันอาจทำให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้งเหมือนเรื่องตลกในโลกออฟไลน์ที่ผู้คนยุคนี้ลืมเลือนและไม่พูดถึงกันอีกแล้วก็ได้
“เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจมีมทุกอันที่เราแชร์”
การเสพมีมในรูปแบบหรือเรื่องราวต่างๆ สามารถบ่งบอกความรู้ ความเข้าใจ และความเป็นตัวตนของผู้คนได้ เนื่องจากการทำความเข้าใจมีมเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้ในระดับหนึ่ง บ่อยครั้งที่เราพบเจอมีมต่างๆ แต่ไม่สามารถแม้แต่จะยิ้มมุมปากให้กับมันได้เลย บ้างอาจจะเป็นข้อมูลที่ลึกเกินไป บ้างอาจจะเป็นข้อมูลที่ไกลเกินไปจากสังคมที่คุณอยู่ และถึงแม้บางครั้งเราอาจจะเข้าใจ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหัวเราะหรือเห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นได้
เช่นเดียวกับสื่อทั่วไป มีมเป็นเพียงเรื่องตลกวงในเวอร์ชันดิจิทัล ที่ผู้คนยังคงเสพผ่านการใช้ตรรกะและกรอบความคิดมาตรฐานบางอย่างในสังคมของตัวเองอยู่ หลายครั้งที่เราเห็นมีมนำเรื่องปัญหาต่างๆ ในสังคม เช่น เรื่องความเหลื่อมล้ำทางเพศ การเหยียดถิ่นฐาน หรือการเห็นต่างทางการเมืองมาเล่นเพื่อความตลกขบขัน แต่กลับทำลายความรู้สึกของใครหลายๆ คนได้ เพราะความสนุกสนานและเคยชินทำให้หลายครั้งเราหลงลืมไปว่า มีม ก็เป็นเครื่องมือบนอินเทอร์เน็ตที่สามารถให้ความบันเทิงและบั่นทอนผู้คนได้เช่นกัน
แม้การเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องตลกวงในคือการยืนยันว่าได้เป็นที่ยอมรับทางสังคม แต่บางครั้งเราอาจต้องถอยออกมามองและต่อสู้กับความคิดตัวเองให้ดีว่าเราเห็นด้วยกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่ และเรามีมุมมองอย่างไร ความสนุกของเราวันนี้จะทำร้ายใครหรือเปล่า เพราะมีมที่เราแชร์ไปถือเป็นการยืนยันตำแหน่งความคิด ความเชื่อ และตัวตนของคุณในสังคม วันนี้มันอาจทำให้คุณรู้สึกสนุกแทบตาย แต่ในอนาคตมันอาจทำให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้งเหมือนเรื่องตลกในโลกออฟไลน์ที่ผู้คนยุคนี้ลืมเลือนและไม่พูดถึงกันอีกแล้วก็ได้
