ผมกับปลื้มเกิดที่จังหวัดเดียวกัน นั่นคือจังหวัดอุบลราชธานี เราต่างคนจึงเป็นคนอีสานโดยกำเนิด แม้ว่าสายเลือดอาจไม่ใช่อีสานแท้ขนาดนั้น หลังจากผ่านช่วงวัยเด็กมาอย่างรวดเร็วเหมือนโกหก เห็นอีกทีผมก็รู้มาว่าปลื้มได้กลายเป็นจิตรกรวาดภาพ พร้อมกับมีงานส่งออกไปจัดแสดงอยู่ที่มหานครนิวยอร์กแล้ว โดยงานส่วนใหญ่ของเขา ‘ไม่มีคำนิยาม’ ว่าเป็นรูปแบบใด แต่พยายามถ่ายทอดและรวบรวมสิ่งที่เขามีอยู่ในตัวมาตลอดชีวิต นั่นคือวัฒนธรรมท้องถิ่นไทเดิมที่ผูกกับโลกดิจิทัล อันเป็นโลกยุคใหม่ที่มนุษยชาติกำลังหลงลืมอะไรบางอย่าง

ปลื้ม-ศุภวิชญ์ วีสเพ็ญ ศิลปินจากรั้วศิลปากรที่เคยจัดแสดงนิทรรศการเดี่ยวของตัวเองชุด ‘The Comet and The Nostalgic Souls’ ณ NOVA CONTEMPORARY รวมถึงจัดแสดงที่อาร์ตแฟร์ S.E.A. FOCUS 2023 ประเทศสิงคโปร์ ได้เข้าร่วมงาน Liste Showtime Online ส่วนหนึ่งของงาน Liste Art Fair Basel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และล่าสุดในงาน Art Jakarta ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 17-19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองในช่วงนี้เลยไม่น้อย
บางทีอาจเป็นชะตา จากที่เราพบเจอกันในโรงเรียนเดียวกัน ผมได้กลับมาเจอปลื้มอีกครั้ง จึงมีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตระหว่างตัวปลื้มกับงานศิลปะ รวมถึงรากฐาน แนวคิด คอนเซปต์ หรือ setting ที่ปลื้มได้ตักตวงนำมาใช้กับงานศิลปะของตัวเองที่ทำเอาผมเองรู้สึกหวนคิดถึงแดนอีสานอีกครั้ง และตระหนักถึงความงดงามของความเชื่อของกลุ่มชนหนึ่งที่เรียกว่า ‘ไทอาหม’ กับการที่ปลื้มนำมาบอกเล่า สะท้อนถึงสภาวะความเป็นอยู่ของโลกยุคใหม่ที่คลาคล่ำไปด้วยข้อมูลและความเป็นดิจิทัล

ตำนานความเชื่อกับโลกดิจิทัล
โปรเจกต์ที่น่าสนใจของปลื้มคือ ‘The Comet and The Nostalgic Souls’ ที่ถูกจัดแสดงใน NOVA CONTEMPORARY ไปแล้ว บนผืนผ้าใบขนาดน้อยใหญ่พรรณนาภาพแสงวาบในทรงละม้ายคล้ายกับดาวหาง ขณะเดียวกันบางภาพก็มีลักษณะคล้ายคลื่นวิญญาณ ปลื้มเล่าว่าผลงานทั้งหมดเป็นการเล่าเรื่องจากแนวคิดเดียวกันคือเรื่องอิทธิพลของเทคโนโลยีที่มีต่อมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งแนวคิดที่ว่านี้เป็นเสมือนหัวเชื้อสำคัญที่ต่อยอดให้เกิดโปรเจกต์งานต่อๆ ไป จะว่าเป็นเหมือนหัวใจหลักก็ว่าได้
“ต้นกำเนิดจริงๆ มันมาจากการที่เราติด TikTok ติดโซเชียลมีเดีย แล้วเราก็คิดว่ามันทำงานกับเราและความรู้สึกยังไงบ้าง จนกลายเป็นโปรเจกต์เกี่ยวกับการมองโลกดิจิทัลเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ของมนุษยชาติ เพราะว่าเราคิดว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังจอ (เทคโนโลยี) นั้นมันมหาศาลมากทำให้กาลและเทศะของเราถูกบิดเบือน เช่น ทำให้เรารู้สึกเหมือน 1 ชั่วโมง กลายเป็น 5 นาที หรือเวลาเรามีโปรไฟล์ แอคเคาท์ (ในโลกออนไลน์) เปรียบเหมือนโดนแบ่งร่างกาย สร้างร่างกายใหม่ในอีกโลกนึง ซึ่งคือโลกดิจิทัล ภายใต้เงื่อนไขอีกที่นึง”

“ตัวโปรเจกต์ The Comet เราจินตนาการถึงอนาคตที่ทุกอย่างถูกดูดหรือแปลงไปยังอีกโลกหรืออีกแบบหมดสิ้นแล้ว ซึ่งโลกใหม่นี้มีระบบดิจิตอลเป็นพื้นฐาน แล้วเราคิดเล่นๆว่า วิญญาณ หรือ.. สมมุติว่ายังคงอยู่ จะคงอยู่ในสภาพหรือรูปแบบไหน และสามารถระลึกชาติ หรือเชื่อมโยงถึงโลกรูปแบบก่อน (ทะลุออกมาจากโลกตอนนี้)ได้ไหม อย่างไร”
“เราใช้ดาวหางถูกเอามาในเรื่องของจุดบกพร่องของโลกและระบบที่มันเกิดขึ้นอยู่ เพราะในตำราพื้นเมือง ดาวหางคือลางร้าย มันโคจรนานเกินกว่าที่คนในยุคก่อนจะสามารถบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรได้ นอกจากนี้เรายังใช้ในการมองขั้วตรงข้าม ข้างนอกข้างใน นอกโลกในโลก และก็อดีตอนาคต เพราะว่าดาวหางมีนัยยะเรื่องการปรากฎในอดีต และจะปรากฎในอนาคตด้วย”

การสร้างท้องฟ้าของไทอาหม
หลายคนอาจไม่รู้จักกับชาวไทอาหมที่ปัจจุบันตั้งรกรากอยู่รัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย แม้ฟังดูห่างไกล แต่พวกเขาเกี่ยวดองกับชาวไทยเรามากกว่าที่คิด พวกเขาสืบสายมาจากกลุ่มชนที่พูดภาษาไทกะได (ขร้าไท) เหมือนกันกับเรา และยังมีวัฒนธรรมร่วมกับชาวอีสานในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ปลื้มสนใจเกี่ยวกับชาวไทอาหมคือ ‘ตำนานดวงดาว’ อันเป็นปรัมปราคติ หรือจักรวาลวิทยาที่ถูกเล่าส่งต่อกันมา
หลังจากเดินเข้าไปในบ้าน สอดส่องพื้นที่ที่กลายเป็นเหมือนสตูดิโอขนาดย่อม ปลื้มได้อธิบายคอนเซปต์ setting หลักๆ ของงานที่กำลังทำอยู่ ทั้งหมดเป็นการหยิบเรื่องราวความเชื่อ ปรัมปราคติท้องถิ่นของชาวไทอาหม เพื่อใช้เป็นเลนส์ในการมองโลกยุคใหม่ หรือการมีดวงดาวไว้ให้คนมอง เมื่อคนมองดวงดาวท้องฟ้าจึงรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งกับจักรวาล ความโยงใยกับสิ่งอื่น แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิต เรากลับก้มหัว ถูกดูดด้วยสิ่งที่มีมวลอย่างยิ่งยวดด้านหลังจอสกรีน ซึ่งทำให้เทคโนโลยีเหล่านั้นได้เป็นเสมือนพระเจ้าองค์ใหม่ของมนุษยชาติไปเสียแล้ว

“ในปรัมปราไทอาหม ยุคแรกเริ่มนั้นโลกยังไม่มีท้องฟ้าและฝนตกเกิดลงมาเยอะเกิน ทำให้พื้นดินเป็นหนอง หนองน้ำ ต้นไม้พืชพันธุ์เลยขึ้นไม่ได้ พระเจ้าก็เลยสร้างแมงมุมทองสองตัวผัวเมียเพื่อสร้างท้องฟ้า”
“พอสร้างเสร็จ แมงมุมทั้งคู่บินไปทางทิศเหนือสู่ สุดขอบที่เรียกว่าฟ้าเก้า คล้ายสวรรค์ ซึ่งเป็นดินแดนที่หนาวมากจนแมงมุมทั้งคู่ตาย พอมันตาย ร่างกายเลยเป็นสมุนไพรวิเศษ มีสรรพคุณหลายอย่าง มีการเปลี่ยนคนธรรมดาเป็นเทพ หรือจากการตายสู่เป็นอมตะ ซึ่งตรงสมุนไพรก็เป็นจุดนึงที่เราเอามาใช้เหมือนกัน”
“ดิจิทัลมันเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอยู่แล้ว แต่เราอยากมองในเชิงจิตนิยม แบบการที่ก้มมองมือถือแล้วไม่ได้มองท้องฟ้าเลย มันทำให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งร่วมกับจักรวาลมันหายไป เราจึงอยากฟื้นฟูให้ความเชื่อมต่อนี้มันกลับมา เลยมีการเอาแมงมุมมาเล่า เอาสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการฟื้นฟูเอาใช้ด้วย รวมถึงบายศรีมาเล่าในเชิง spiritual healing”

จากเด็กอุบลฯ สู่นิวยอร์ก
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 แกลอรี NOVA CONTEMPORARY ได้นำผลงานของปลื้มไปแสดงที่แกลอรี Clearing นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในงาน ‘MADE IN THE DARK’ นิทรรศการร่วมกับศิลปินต่างประเทศท่านอื่นๆ นับว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ระดับ Global ในฐานะศิลปินไทยรุ่นใหม่
“มันเป็นโอกาสที่รู้สึกโชคดีมากที่ได้รับ เป็นก้าวสำคัญที่งานได้เดินทางไปอยู่ในระยะทางไกลมาก ผู้ชมก็เป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ตรงนั้นอาศัยในบริบทที่เราก็แทบไม่รู้จัก คือรู้จักนิวยอร์กแค่ผ่านพวกหนัง ไม่รู้คนที่นั้นมีฟีลลิงตอนคุยกันยังไง มีเอนเนอจี้แบบไหน art scene เขาเป็นยังไง อันนี้ไม่เกี่ยวกับงานนะ แต่เกี่ยวกับที่อยากเอาตัวเองเข้าไปเรียนรู้คนกับคน พองานเริ่ม ก็มีคนที่นั่นถ่ายรูปแล้วแทคหรือข้อความมาหา ก็ทำให้รู้สึกได้คอนเนคหรือแชร์อะไรกับคนที่อยู่ไกลมากๆ ผ่านงาน”

ปลื้มชื่นชอบในการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่เคยคิดว่า ณ จุดหนึ่งในชีวิตตัวเองจะกลายเป็นศิลปินอาชีพ หรือได้มาเรียนในคณะจิตรกรรม หรือคาดฝันว่าตัวเองจะได้มีโอกาสแสดงผลงานที่ต่างประเทศเลยสักนิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็ยังมองว่าทั้งหมดเป็นเพียงการเริ่มต้น และยังมีอะไรหลายอย่างที่อยากทำ หนึ่งในนั้นคือการกลับไปเปิดทำแกลอรี-พื้นที่ศิลปะ ที่จังหวัดอุบลราชธานี
“หลังจากที่เราเรียนจบ เรากลับไปที่อุบลและได้เห็นอะไรเกิดขึ้นเยอะ เจอร้านกาแฟเยอะมาก และก็เจอคนที่มีพลังพร้อมสร้างอะไรใหม่ๆ มีกิจกรรมมากขึ้น เราเลยรู้สึกอยากเข้าไปทำ เหมือนสถานที่เอาไว้พักผ่อนเพลิดเพลินไว้ดูงานศิลปะ เราคิดว่า (ที่อุบลฯ) มันไม่ค่อยมีอะไรแนวๆ นี้ให้ดู คนเลยไม่ได้รู้จักมากกว่า อารมณ์หนังในโรงหนังที่ฉายแค่บางที่”

สามารถชมผลงานของ ศุภวิชญ์ วีสเพ็ญ ได้ที่เว็บไซต์ supawichweesapen และ NOVA CONTEMPORARY