เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) ยังคงเดินหน้าทำหนังแนวทริลเลอร์อย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2021 หลายคนอาจได้เชยชมพล็อตหนังที่แปลกใหม่ในเรื่อง ‘Old’ เมื่อครอบครัวติดกับพลังงานลึกลับบางอย่างทำให้เวลาเดินหน้าเร็วผิดปกติ จากลูกๆ ที่ไม่ถึงสิบขวบจู่ๆ ก็เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ภายในเวลากี่นาที พล็อตสุดพิศดารยังไงคงต้องยกให้ชยามาลาน และใน ‘Knock at the Cabin’ เรื่องล่าสุดที่เราจะพูดถึงนี้ ก็ยังคงคอนเซปต์พล็อตหนังประหลาดที่เชื่อว่าใครที่เคยชมตัวอย่างต้องถึงกับเกาหัวจนกว่าจะได้ชมหนังในโรงภาพยนตร์
Knock at the Cabin เป็นผลงานเรื่องที่ 15 ของชยามาลาน ใครที่ยังนึกไม่ออกว่าชยามาลานคือใคร เขาเป็นผู้กำกับเจ้าของหนังเด็กเห็นผีเรื่อง ‘The Sixth Sense’ และหนังมนุษย์ต่างดาวกลัวน้ำที่ได้ วาคีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) มาแสดงนำ ในเรื่อง ‘Signs’ และดูท่าว่า Knock at the Cabin จะเป็นหนังที่ตามรอยมู้ดเดิมเหมือนหนังทั้งสองเรื่องที่กล่าวไป พร้อมกับได้ เดฟ บอทิสตา (Dave Bautista) อดีตนักมวย WWE ที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงหนังนอกกระแส มาแสดงนำเป็นคุณครูประถมผู้ใจดี
Knock at the Cabin เป็นผลงานเรื่องที่ 15 ของชยามาลาน ใครที่ยังนึกไม่ออกว่าชยามาลานคือใคร เขาเป็นผู้กำกับเจ้าของหนังเด็กเห็นผีเรื่อง ‘The Sixth Sense’ และหนังมนุษย์ต่างดาวกลัวน้ำที่ได้ วาคีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) มาแสดงนำ ในเรื่อง ‘Signs’ และดูท่าว่า Knock at the Cabin จะเป็นหนังที่ตามรอยมู้ดเดิมเหมือนหนังทั้งสองเรื่องที่กล่าวไป พร้อมกับได้ เดฟ บอทิสตา (Dave Bautista) อดีตนักมวย WWE ที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงหนังนอกกระแส มาแสดงนำเป็นคุณครูประถมผู้ใจดี

Knock at the Cabin เป็นเรื่องราวของครอบครัวที่ประกอบด้วยคุณพ่อสองคน แอนดรูวและเอริค นำแสดงโดย เบน อัลดริดจ์ (Ben Aldridge) และโจนาธาน กรอฟ (Jonathan Groff) กับลูกสาวบุญธรรม เวน รับบทโดย คริสเทน ซุย (Kristen Cui) ที่ออกมาพักตากอากาศในกระท่อมริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เวนกำลังจับตั๊กแตน จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนปริศนาทั้ง 4 คน เข้ามาทำความรู้จักอย่างเป็นมิตร แต่เหตุการณ์ลงเอยไม่ดีนัก จนกระทั่งทั้งครอบครัวถูกจับตัวภายในกระท่อม พวกเขาทั้ง 4 คนไม่มีท่าทีจะทำร้ายใครทั้งสิ้น แต่พยายามอธิบายว่า ทั้งแอนดรูว เอริค และเวน ต้องเลือกคนใดคนหนึ่งในครอบครัวในการเสียสละชีวิตเพื่อรักษาคนทั้งโลก
แน่นอนว่าใครอ่านเจอเรื่องย่อ หรือชมตัวอย่าง คงมีอารมณ์ที่ค้างเติ่ง สงสัยว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดนี้มันคืออะไรกันแน่ ทางเราขอแนะนำให้ไปชมตัวหนังก่อนมาอ่านต่อ แต่สำหรับใครที่ไปชมมาแล้ว เราจะมาพูดคุยกันว่า Knock at the Cabin เกิดอะไรขึ้นจริงๆ แล้วสิ่งที่ชยามาลานต้องการจะนำเสนอนั้นคืออะไร
สิ่งที่ชยามาลานทำคือการทำมู้ดอารมณ์หนังให้กลับไปคล้ายกับเรื่อง The Sixth Sense และเรื่อง Signs ซึ่งบางคนอาจรู้มาว่าชยามาลานเป็นผู้กำกับที่สร้างหนังออกมาให้สำเร็จทะลุเป้าแบบลุ่มๆ ดอนๆ อย่างเรื่อง ‘After Earth’ และ ‘The Last Airbender’ ถูกนักวิจารณ์และผู้ชมจวกยับด้วยคะแนนอันน้อยนิด และในปี 2023 นี้ ชยามาลานทำให้คนกลับมาสนใจอีกครั้งด้วยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ปริศนา และเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่เรียกได้ว่า “เกือบทำได้ดีแล้ว” และอาจทำได้นุ่มลึกกว่านี้หากเขาถ่ายทอดหนังในฐานะหนังนอกกระแส แต่สิ่งที่ชยามาลานทำนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถ้าเขาต้องการให้หนังออกมาดูเข้าใจง่าย และเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า
แน่นอนว่าใครอ่านเจอเรื่องย่อ หรือชมตัวอย่าง คงมีอารมณ์ที่ค้างเติ่ง สงสัยว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดนี้มันคืออะไรกันแน่ ทางเราขอแนะนำให้ไปชมตัวหนังก่อนมาอ่านต่อ แต่สำหรับใครที่ไปชมมาแล้ว เราจะมาพูดคุยกันว่า Knock at the Cabin เกิดอะไรขึ้นจริงๆ แล้วสิ่งที่ชยามาลานต้องการจะนำเสนอนั้นคืออะไร
*คำเตือน: มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์*
สิ่งที่ชยามาลานทำคือการทำมู้ดอารมณ์หนังให้กลับไปคล้ายกับเรื่อง The Sixth Sense และเรื่อง Signs ซึ่งบางคนอาจรู้มาว่าชยามาลานเป็นผู้กำกับที่สร้างหนังออกมาให้สำเร็จทะลุเป้าแบบลุ่มๆ ดอนๆ อย่างเรื่อง ‘After Earth’ และ ‘The Last Airbender’ ถูกนักวิจารณ์และผู้ชมจวกยับด้วยคะแนนอันน้อยนิด และในปี 2023 นี้ ชยามาลานทำให้คนกลับมาสนใจอีกครั้งด้วยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ปริศนา และเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่เรียกได้ว่า “เกือบทำได้ดีแล้ว” และอาจทำได้นุ่มลึกกว่านี้หากเขาถ่ายทอดหนังในฐานะหนังนอกกระแส แต่สิ่งที่ชยามาลานทำนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถ้าเขาต้องการให้หนังออกมาดูเข้าใจง่าย และเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า

การดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะมาพูดถึงกันในนี้ เพราะสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการหยิบเรื่องสัญญะทางศาสนาออกมาตีแผ่ภายในหนัง แม้ว่ามันอาจเป็นสร้างนัยยะที่ออกจากคลีเช (เชย) ไปหน่อยสำหรับยุคนี้ แต่ชยามาลานก็มีวิธีการที่น่าสนใจในการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมา
ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงทราบเนื้อเรื่องกันดีว่าเกิดอะไรขึ้นภายในเรื่องบ้าง พ่อแอนดรูว และพ่อเอริค ปฏิเสธการสังเวยชีวิต เลยทำให้กลุ่มคนปริศนาทั้ง 4 ที่เชื่อว่าตัวเองเห็นนิมิตวันสิ้นโลก ต้องทำการสังเวยตัวเอง (ในหนังไม่ได้บอกว่าสังเวยให้ใคร) และทุกครั้งที่หนึ่งใน 4 คนนี้ล้มตาย จะเกิดหายนะแก่คนบนโลกนับแสนคน หนังพาทำผู้ชมงงเป็นไก่ตาแตกจนกระทั้งช่วงท้ายของเรื่อง ลีโอนาร์ด (เดฟ บอทิสตา) เผยความจริงแก่ครอบครัวทั้งสามคนว่า เขาและอีก 3 คน นั้นเป็น ‘จตุรอาชาแห่งวิวรณ์’ ตรงนี้ทำให้รู้ทันทีว่าหนังทั้งเรื่องเป็นการแฝงนัยยะศาสนาคริสต์ลงไป
ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงทราบเนื้อเรื่องกันดีว่าเกิดอะไรขึ้นภายในเรื่องบ้าง พ่อแอนดรูว และพ่อเอริค ปฏิเสธการสังเวยชีวิต เลยทำให้กลุ่มคนปริศนาทั้ง 4 ที่เชื่อว่าตัวเองเห็นนิมิตวันสิ้นโลก ต้องทำการสังเวยตัวเอง (ในหนังไม่ได้บอกว่าสังเวยให้ใคร) และทุกครั้งที่หนึ่งใน 4 คนนี้ล้มตาย จะเกิดหายนะแก่คนบนโลกนับแสนคน หนังพาทำผู้ชมงงเป็นไก่ตาแตกจนกระทั้งช่วงท้ายของเรื่อง ลีโอนาร์ด (เดฟ บอทิสตา) เผยความจริงแก่ครอบครัวทั้งสามคนว่า เขาและอีก 3 คน นั้นเป็น ‘จตุรอาชาแห่งวิวรณ์’ ตรงนี้ทำให้รู้ทันทีว่าหนังทั้งเรื่องเป็นการแฝงนัยยะศาสนาคริสต์ลงไป

จตุรอาชาแห่งวิวรณ์ หรือ คนขี่ม้าสี่คนแห่งวิวรณ์ เป็นผู้ลงทัณฑ์จากพระเจ้า โดยเนื้อหาเหล่านี้ถูกกล่าวถึงในหนังสือวิวรณ์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มที่ 27 หรือเล่มสุดท้ายของพันธสัญญาใหม่ อีกทั้งยังปรากฎในหนังสือเศคาริยาห์และหนังสือเอเสเคียลในฉบับพันธสัญญาเดิม จตุรอาชาประกอบด้วยม้าทั้ง 4 สี ได้แก่ สีแดง, สีขาว, สีดำ และสีกะเลียว (เขียวอมดำ)
ภายในหนังเราได้เปรียบได้ไม่ยาก เพราะสามารถเปรียบเทียบสัญญะตามสีเสื้อของทั้ง 4 คน ม้าสีขาวคือลีโอนาร์ด (วิบัติจากโรคระบาด) ม้าสีดำคือเอเดรียน (วิบัติจากภัยอดอยากอาหาร) ม้าสีกะเลียวคือซาบรินา (ในหนังสือเป็นสีเหลืองแทน และเป็นตัวแทนของวิบัติจากความตาย) และม้าสีแดงคือเรดมอนด์ (วิบัติจากภัยสงคราม) แต่อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นภายในเรื่องไม่ได้ตรงตามหนังสือวิวรณ์
ภายในหนังเราได้เปรียบได้ไม่ยาก เพราะสามารถเปรียบเทียบสัญญะตามสีเสื้อของทั้ง 4 คน ม้าสีขาวคือลีโอนาร์ด (วิบัติจากโรคระบาด) ม้าสีดำคือเอเดรียน (วิบัติจากภัยอดอยากอาหาร) ม้าสีกะเลียวคือซาบรินา (ในหนังสือเป็นสีเหลืองแทน และเป็นตัวแทนของวิบัติจากความตาย) และม้าสีแดงคือเรดมอนด์ (วิบัติจากภัยสงคราม) แต่อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นภายในเรื่องไม่ได้ตรงตามหนังสือวิวรณ์

ในหนังสือเศคาริยาห์ กล่าวว่า ทั้งสี่เป็น “ผู้ที่พระองค์ส่งมาเพื่อตรวจตราแผ่นดินโลก" ส่วนหนังสือเอเสเคียลระบุว่าพระเจ้าทรง "ส่งภัยแห่งการพิพากษาร้ายแรงทั้งสี่ประการของเราคือ ดาบ การกันดารอาหาร สัตว์ร้ายและโรคระบาดมาเหนือเยรูซาเลม เพื่อกำจัดมนุษย์และสัตว์เสียจากนครนั้น” เพราะฉะนั้นภาพเงาคนที่เอริคเห็นอาจเป็นพระเจ้าก็เป็นได้ แต่หนังพยายามเล่นกับผู้ชมด้วยการให้เอริค (ที่เพิ่งได้การกระทบกระเทือนบนศีรษะอย่างรุนแรง) เป็นคนเห็นภาพ เพื่อหันเหไปคิดว่าเอริคนั้นเกิดประสาทหลอนไปเอง
สิ่งที่น่าสนใจคือทั้งสี่คนนี้เคยปรากฎในชีวิตของแอนดรูวและเอริค ถ้าสังเกตให้ดีเรดมอนด์คือคนที่อยู่ในบาร์จริง และซาบรินาเคยเป็นแพทย์รักษาแอนดรูวหลังถูกตีศีรษะที่บาร์ และบาร์เทนเดอร์ที่บาร์แห่งนั้นอาจเป็นลีโอนาร์ด เพราะเขาเคยแนะนำตัวว่าทำงานพาร์ทไทม์เป็นบาร์เทนเดอร์ แต่สำหรับเอเดรียนนั้นยังไม่แน่ชัดว่าปรากฎอยู่ตรงส่วนไหน ทุกคนถูกร้อยเรียงโชคชะตาให้มาเจอกันโดยบังเอิญ น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ย้อนจุดนี้แบบชัดๆ อาจเป็นเกร็ดเล็กๆ ที่ผู้ชมต้องสังเกตเอาเอง
สิ่งที่น่าสนใจคือทั้งสี่คนนี้เคยปรากฎในชีวิตของแอนดรูวและเอริค ถ้าสังเกตให้ดีเรดมอนด์คือคนที่อยู่ในบาร์จริง และซาบรินาเคยเป็นแพทย์รักษาแอนดรูวหลังถูกตีศีรษะที่บาร์ และบาร์เทนเดอร์ที่บาร์แห่งนั้นอาจเป็นลีโอนาร์ด เพราะเขาเคยแนะนำตัวว่าทำงานพาร์ทไทม์เป็นบาร์เทนเดอร์ แต่สำหรับเอเดรียนนั้นยังไม่แน่ชัดว่าปรากฎอยู่ตรงส่วนไหน ทุกคนถูกร้อยเรียงโชคชะตาให้มาเจอกันโดยบังเอิญ น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ย้อนจุดนี้แบบชัดๆ อาจเป็นเกร็ดเล็กๆ ที่ผู้ชมต้องสังเกตเอาเอง

ทั้ง 4 คน ไม่ใช่ผู้ถูกมอบหมายโองการมาตั้งแต่แรก พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดาที่เผอิญเห็นนิมิต แต่มันจะมีฉากหนึ่งที่ทำให้พวกเขาทั้ง 4 เหมือนกำลังโดนสิงด้วยพลังอะไรบางอย่างหลังจากที่แอนดรูวและเอริคปฏิเสธการสังเวย และจำเป็นต้องฆ่าผู้เห็นนิมิตหนึ่งในสี่ ตอนที่พวกเขาฆ่าเรดมอนด์ ทั้งสามคนมีจังหวะการขยับตัวและก้าวฝีเท้าอย่างมีรูปแบบเหมือนอยู่ในพิธีกรรม ในมือของพวกเขาถืออาวุธ (ที่ลีโอนาร์ดเรียกว่า “เครื่องมือ”) ที่มีลักษณะประหลาดเหมือนอาวุธโบราณ เป็นอีกหนึ่งดีเทลที่หนังพลาดในการถ่ายทอดมันออกมาให้น่าสนใจ
ในช่วงท้ายของหนัง เป็นการนำเสนอภาพซ้ำคล้ายกับเรื่อง ‘Noah’ ของ ดาร์เรน อาร์นอฟสกี (Darren Aronofsky) เมื่อโนอาห์ต้องการทำตามคำสั่งพระเจ้าด้วยการจบสิ้นเผ่าพันธุ์ เนื่องจากมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ และชั่วร้าย เช่นเดียวกันกับแอนดรูวภายในเรื่องที่ถูกสบประมาทจากสังคมจากการที่เป็น LGBTQ แอนดรูวกล่าวกับเอริคด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านว่ามนุษย์นั้นสมควรตาย หนังพยายามเล่นกับเรื่องความเมตตากรุณา หรือ Compassion ซึ่งเป็นหลักคำสอนหลักที่ปรากฎอยู่ในศาสนาคริสต์ สำหรับ่ไฟที่พลุกพล่านกระท่อมไปทั้งหลัง เป็นนัยยะของการสังเวยตามฉบับของพิธีกรรมในยุคโบราณ
ในช่วงท้ายของหนัง เป็นการนำเสนอภาพซ้ำคล้ายกับเรื่อง ‘Noah’ ของ ดาร์เรน อาร์นอฟสกี (Darren Aronofsky) เมื่อโนอาห์ต้องการทำตามคำสั่งพระเจ้าด้วยการจบสิ้นเผ่าพันธุ์ เนื่องจากมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ และชั่วร้าย เช่นเดียวกันกับแอนดรูวภายในเรื่องที่ถูกสบประมาทจากสังคมจากการที่เป็น LGBTQ แอนดรูวกล่าวกับเอริคด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านว่ามนุษย์นั้นสมควรตาย หนังพยายามเล่นกับเรื่องความเมตตากรุณา หรือ Compassion ซึ่งเป็นหลักคำสอนหลักที่ปรากฎอยู่ในศาสนาคริสต์ สำหรับ่ไฟที่พลุกพล่านกระท่อมไปทั้งหลัง เป็นนัยยะของการสังเวยตามฉบับของพิธีกรรมในยุคโบราณ

อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ เช่น ทั้งหมดนี้คืออะไร การทดสอบของพระเจ้า หรือเป็นเพียงวิธีการของพระเจ้าที่จำต้องเป็นไป ส่วนตัวมีความเห็นว่าในจังหวะที่แอนดรูวยิงเอริคนั้นเกิดขึ้นง่ายไป มันคงกลมกล่อมและสมเหตุสมผลมากกว่านี้หากมีการถ่ายทอดความกดดันผ่านฉากที่เค้นอารมณ์ ทุกอย่างดำเนินไปแบบเป็นสูตรสำเร็จมากไป ราวกับบทที่วางไว้ ไม่ใช่พฤติกรรมมนุษย์อย่างที่ควรจะเป็น
ความเจ๋งที่น่าพูดถึงคือตอนจบที่แอนดรูว และเวน นั่งอยู่ในรถหลังจากผ่านเหตุการณ์มาทั้งหมด ทั้งสองนั่งในรถด้วยความเหน็ดเหนื่อย และงงงวยกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไป แอนดรูวเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ แต่เพลงที่วิทยุเปิดกลับเป็นเพลงที่พวกเขาชอบร้องกัน แอนดรูวปิดวิทยุ (แสดงถึงการรับไม่ได้) สักพักเวนเอื้อมไปเปิด (คิดถึงเอริค) แต่แล้วก็กดปิด (ทำใจรับไม่ได้) ท้ายที่สุดแอนดรูวกลับเป็นคนที่เปิดวิทยุให้เพลงเล่นไปจนจบเรื่อง อันเป็นการแสดงถึงชีวิตที่ต้องเดินหน้าต่อไป (การรับได้ต่อสภาวะความเป็นจริง)
กล่าวโดยสรุป Knock at the Cabin เป็นหนังที่ดูสนุกแบบเพลินๆ ตามสไตล์ชยาลามาน แต่ถามว่าดีไหม คงให้แค่ 4.5/10 สำหรับการแฝงนัยยะของหนัง ส่วนการดำเนินเรื่องหนังนั้นยังติดความเป็นสูตรสำเร็จเกินไป และขาดพื้นที่สำหรับการถ่ายทอดอารมณ์และพฤติกรรมอันแท้จริงของมนุษย์
ความเจ๋งที่น่าพูดถึงคือตอนจบที่แอนดรูว และเวน นั่งอยู่ในรถหลังจากผ่านเหตุการณ์มาทั้งหมด ทั้งสองนั่งในรถด้วยความเหน็ดเหนื่อย และงงงวยกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไป แอนดรูวเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ แต่เพลงที่วิทยุเปิดกลับเป็นเพลงที่พวกเขาชอบร้องกัน แอนดรูวปิดวิทยุ (แสดงถึงการรับไม่ได้) สักพักเวนเอื้อมไปเปิด (คิดถึงเอริค) แต่แล้วก็กดปิด (ทำใจรับไม่ได้) ท้ายที่สุดแอนดรูวกลับเป็นคนที่เปิดวิทยุให้เพลงเล่นไปจนจบเรื่อง อันเป็นการแสดงถึงชีวิตที่ต้องเดินหน้าต่อไป (การรับได้ต่อสภาวะความเป็นจริง)
กล่าวโดยสรุป Knock at the Cabin เป็นหนังที่ดูสนุกแบบเพลินๆ ตามสไตล์ชยาลามาน แต่ถามว่าดีไหม คงให้แค่ 4.5/10 สำหรับการแฝงนัยยะของหนัง ส่วนการดำเนินเรื่องหนังนั้นยังติดความเป็นสูตรสำเร็จเกินไป และขาดพื้นที่สำหรับการถ่ายทอดอารมณ์และพฤติกรรมอันแท้จริงของมนุษย์