‘ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่วงการพระก็ดูได้ ยิ่งไม่รู้ยิ่งดูสนุก’
นี่น่าจะเป็นคำโปรยที่ เป้-อารักษ์ ผู้กำกับภาพยนตร์ ‘เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊’ เคยเล่าสู่กันฟังให้ผมได้รู้ถึงสารที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการจะสื่อว่า ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมาก่อน เดี๋ยวตอนจบทุกคนจะมีเรื่องไปพูดคุยกันต่อเองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในเรื่องนี้ก็ตาม
ฉะนั้นแล้วหากจะให้พูดถึงบทรีวิวภาพยนตร์เรื่อง ‘เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊’ ที่กำลังเข้าฉายในวันนี้เป็นวันแรก สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือผมจะไม่สปอยล์ จะไม่พูดถึงอะไรที่เข้าไปแตะเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่จะเล่าในมุมมองของคนคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในวงการพระเครื่อง ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อไปดูมาแล้วรู้สึกอย่างไร ถ้าพร้อมแล้วตามมาครับเดี๋ยวเล่าให้ฟัง
เริ่มแรกขอทำความเข้าใจเรื่องย่อของ ‘เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊’ กันก่อน เรื่องนี้เล่าผ่านตัวละคร “เอก” (เจ้านาย-จินเจษฎ์ วรรธนะสิน) ที่ต้องการเงินไปรักษาพ่อที่ป่วยหนัก เขาจึงได้เอาพระเครื่องของพ่อไปประเมินราคากับเซียนพระชื่อดัง “เซ้ง พาราไดซ์” (จ๋าย-อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี) เอกได้เจอกับ “เซียนหมวย” (อ๊ะอาย-กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ) เซียนพระสุดฮ็อตที่เข้ามาแนะนำให้ส่งพระเข้าประกวด แต่กลายเป็นว่าพระที่อยู่ในมือของเอกคือ “พระสมเด็จ” ของแท้ชื่อดังในตำนานที่หายไปจากวงการกว่า 30 ปีซึ่งอาจมีราคาสูงถึงหลักร้อยล้าน และเป็นที่จับจ้องของคนเล่นพระทั้งวงการรวมถึง “พ่อสุนทร” (ตู่-นพพล โกมารชุน ) เซียนพระผู้ทรงอิทธิพล พ่วงมาด้วยบุคคลปริศนา “วิคเตอร์” (ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์) เหล่านี้พลิกชีวิตของคนที่ไม่เคยสนใจพระเครื่องเข้าสู่เดิมพันอันตรายของบรรดาเซียนที่พร้อมใช้ทุกเล่ห์เหลี่ยมกลโกงเพื่อแย่งชิง “พระแท้” มาครอบครอง
ทีนี้พอเรื่องย่อเป็นไปเช่นนี้การเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเรื่องจึงสร้างความตื่นเต้นชวนติดตาม ด้วยการเดินเรื่องที่กระชับตลอดเวลาเราจะได้เห็นการผจญภัยของตัวละครอย่างเอกที่เริ่มต้นจากความไม่รู้อะไรเลย แค่รู้ว่าต้องการรักษาพ่อให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ในช่วงเวลาคับขันสิ่งเดียวที่เอกคิดได้คือการนำพระของพ่อไปขาย
โดยระหว่างทางการนำพระไปขายกลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตมากกว่าที่เขาจะคิดและจินตนาการได้ว่ามันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ? แถมอยู่ดีๆ ก็มีผู้คนมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องจนไม่รู้ว่าแต่ละคนมาเพื่อเหตุใดกัน ทุกคนดูเป็นคนเก๊มากกว่าพระที่อยู่บนแผงที่ตั้งขายเสียอีก ความอลหม่าน ความสับสนและหนทางในการคลี่คลายจึงเป็นสิ่งที่ ‘เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊’ ให้กับเราตลอดสองชั่วโมงเต็ม
ยิ่งในพาร์ทของการถ่ายทำต้องขอชื่นชมและปรบมือให้กับความกล้าบ้าบิ่นในเรื่องนี้มากๆ ที่กล้าถ่ายทำแบบนี้ออกมา ทั้งในแง่ของภาพ One-Take-Action ที่เลือกจะเล่าช็อตยาวๆ ตั้งแต่ต้นไปจนสิ้นสุด ในเรื่องนี้เราได้เห็นบ่อยมากๆ และมันเหมือนจะกลายเป็นลายเซ็นของผู้กำกับฯ หน้าใหม่อย่าง เป้-อารักษ์ ไปโดยปริยายอีกด้วย เอาแค่เฉพาะฉากความวุ่นวายของเซียนหมวยอันนี้ขอชื่นชมเลยว่าเป็นความยาวที่เท่มากๆ และกลายเป็นว่าการนำเพลงของวงดนตรีอย่าง S.O.L.E. และ The Young Wolf เข้ามาประกอบยิ่งทำให้กลิ่นอายของภาพยนตร์เรื่องนี้ดูอินเตอร์มากขึ้นไปอีก
ในฝั่งของนักแสดง การกระจายบทเฉลี่ยให้ไม่แตกต่างกันมากทำให้ค้นพบว่า นักแสดงตัวหลักทุกคนมีแอร์ไทม์อยู่ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ไม่มีใครเด่นไปกว่าใคร และไม่มีใครโดดออกมาจนรู้สึกได้ กลายเป็นว่าเราได้เห็นแก๊งเซียนพระวิ่งไปวิ่งมาในบทชนิดที่ไม่ได้มีใครแย่งซีนคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเอกเลย สำหรับ MVP นักแสดงที่ชื่นชอบจากเรื่องนี้ผมขอยกให้พระเอกของเรื่องคือ เจ้านาย-จินเจษฎ์ ที่การแสดงภาพยนตร์จอใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกกลายเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซชนิดที่เหนือความคาดหมายของผมเองเหมือนกัน อีกคนก็คงจะเป็น อ๊ะอาย-กรณิศ ที่พลิกบทบาทความเป็นศิลปินสาวเกิร์ลกรุ๊ปสู่การเป็นนักแสดงได้อย่างเต็มตัวซึ่งเธอทำได้ดีไม่แพ้กัน ยิ่งในฉากสุดท้ายของเรื่องต้องขอบอกว่านี่สินะความเป็น MVP ที่อยู่ในตัวอ๊ะอายในขวบปีนี้
เรื่องสุดท้ายและท้ายสุดก็คือ ‘บท’ เรายอมรับเลยว่าช่วงหลังๆ ภาพยนตร์ไทยในฝั่งของบทหนังพอจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่เรื่องนี้กลับฉีกออกไปจากความเป็นไทยบางอย่างที่รู้สึกว่าบทมันเดาไม่ถูกเลยว่าจะไปสุดที่ตรงไหน ยิ่งในฉากท้ายๆ ของเรื่องแม้จะมีช่วงที่เอื่อยๆ ไปบ้างแต่ก็ถือว่าแลนดิ้งได้แบบท้องไม่กระแทกพื้นเลย จบแบบถูกต้องถูกหลักมากๆ ขอชื่นชมทีมงานเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ ที่กล้าทำกล้าลองอะไรใหม่ๆ
ที่สำคัญขอชื่นชมในความตั้งใจของสองผู้กำกับฯ ไฟแรง เป้-อารักษ์ และ บี-วุฒิพงษ์ สุขะนินทร์ ที่รังสรรค์งานชิ้นโบว์แดงชิ้นนี้ออกมาได้สะใจมากๆ เราเชื่อเหลือเกินว่าสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้การเดินทางไปสู่รายได้ร้อยล้านเป็นไปได้ไม่ยากแน่นอน แถมทำไปทำมาเผลอๆ รู้ตัวอีกทีกระแสพระเครื่องอาจจะกลับมาอีกด้วย
‘เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊’ จึงเปรียบเสมือนเรื่องราวการเสียดสีสังคมอะไรบางอย่างที่เมื่อดูจบแล้ว ไ่ด้แต่คิดตามในใจว่า หรือจริงๆ แล้วสังคมมันบิดๆ เบี้ยวๆ แบบนี้มานานแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดก็ตาม ความรักความชอบ ความศรัทธาในสิ่งสิ่งหนึ่งสามารถสร้างเรื่องราวตลกร้ายแบบนี้ให้เกิดขึ้นในสังคมได้เช่นกัน
แนะนำให้ไปดูกันครับ!