เกือบทุกเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนล้วนถูกมองว่าวิดีโอเกมเป็นต้นเหตุอยู่เสมอ เนื่องจากวิดีโอเกมถูกมองเป็นสิ่งควบคู่กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ และประกอบด้วยเนื้อหาที่มีความรุนแรง เช่น Mortal Kombat ที่มีฉากรุนแรงระดับ 20+ หรือวิดีโอเกมที่เกี่ยวกับการใช้อาวุธปืน เช่น Free Fire, PUBG, Call of Duty เป็นต้น เพราะฉะนั้นเกมมักเป็นสิ่งที่โดนกล่าวหามากที่สุดว่าเป็นต้นเหตุของความรุนแรง
คำถามว่า วิดีโอเกมเป็นสาเหตุของความรุนแรงในโลกความจริง นั้นเป็นที่ถกเถียงกันมานานหลายสิบปี แต่ต่อให้เป็นคำกล่าวหาที่นึกถึงบ่อยๆ เคยมีนักวิจัยพิสูจน์มาแล้วว่า ความรุนแรงในวิดีโอเกมไม่มีความเกี่ยวข้องอย่างมีนัยยะสำคัญต่อความรุนแรงในโลกความจริง และการพิสูจน์นี้มีการทำวิจัยต่อเนื่องนานถึง 20 ปีอีกด้วย (รวมทั้งหมด 100 กว่างานวิจัย)

ในปี 2014 เป็นผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอินส์บรุกในประเทศออสเตรียพบว่าวิดีโอเกมที่มีความรุนแรงช่วยเพิ่มความก้าวร้าวแก่ผู้เล่น แต่พอผ่านไปหนึ่งปี มีงานศึกษาจาก Psychology of Popular Media Culture เสนอว่าวิดีโอเกมไม่ได้เพิ่มความก้าวร้าวแก่ผู้เล่นมากขนาดนั้น
หนึ่งในการศึกษาที่น่าสนใจคือการเก็บข้อมูลของวัยรุ่นรวม 21,000 คน นำการศึกษาโดย แอรอน ดรัมมอนด์ (Aaron Drummond) จากมหาวิทยาลัยแมสซีย์นิวซีแลนด์ ได้ตรวจสอบการศึกษารวม 28 ชิ้นจากปีก่อนๆ เพื่อดูความสัมพันธ์กันระหว่างพฤติกรรมก้าวร้าวและวิดีโอเกม ด้วยวิธีที่ใช้เรียกว่าเมตาอนาไลซิส (meta-analysis) ผลงานรายงานที่จริงพบว่ามีทั้งสองอย่างมีส่วนส่งผลถึงกันจริง แต่ ‘ส่งผลน้อยมาก’
“งานวิจัยในปัจจุบันไม่สามารถสนับสนุนสมมติฐานว่าวิดีโอเกมส่งผลในเรื่องความก้าวร้าวในระยะยาว” ผลรายงานบันทึกไว้

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเมื่อปี 2008 ที่รายงานไว้เช่นกันว่ามีความเกี่ยวข้องกันเป็นบวก (แต่เล็กน้อย) ระหว่างความรุนแรงและวิดีโอเกม และยังมีงานวิจัยปี 2011 พบว่าทั้งสองอย่างมีความเกี่ยวข้องกันเป็นลบ นั่นก็คือไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงในโลกความจริงนั่นเอง ตามด้วยการศึกษาอีกมากที่กล่าวโดยสรุปว่า “ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่าการเล่นวิดีโอเกมส่งผลต่อความรุนแรงในโลกความจริง หรือส่งเสริมพฤติกรรมก้าวร้าวทั้งในเด็กและวัยรุ่น”
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ชอบโทษวิดีโอเกมสำหรับความรุนแรงในหมู่วัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ ภาพความจริงของวิดีโอเกมคือเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้ไม่ต่างจากภาพยนตร์ ดนตรี หรืองานสร้างสรรค์อื่นๆ เลย บางคนสงสัยว่าทำไมทุกวันนี้คนยังโทษวิดีโอเกมอยู่ อาจเป็นเพราะคนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เคยสัมผัสวิดีโอเกมด้วยตัวเอง) มองเห็นว่าคนเล่นมักใช้เวลาอยู่กับวิดีโอเกมเป็นเวลานานที่สุดรองจากการทำงาน หรือการเรียน และเนื้อหาส่วนใหญ่มีแต่ความรุนแรงที่คาดว่าอาจซึมซับ ทั้งที่ความจริงแล้ว ผู้เล่นหากมีการคิดวิเคราะห์ ครอบครัวที่ดี ได้รับการสนับสนุนหรือการแนะนำตักเตือนอย่างเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงมีความกดดันในชีวิตน้อย ผู้เล่นจะสามารถแยกแยะความรุนแรงระหว่างวิดีโอเกมกับโลกความจริงได้