วันแรกของการกลับมาทำงานที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ ผบ.ตร.ของ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ที่น่าจะราบรื่น เพราะเหมือนทุกอย่างควรจะเคลียร์ลงตัว กลับเหมือนจะเต็มไปด้วยคลื่นลมแรง และพายุที่กำลังก่อตัวใหม่อีกระลอก
เมื่อคู่กรณีอย่าง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ยังประกาศที่จะเดินหน้าฟ้องขอความป็นธรรมในทุกช่องทางที่สามารถดำเนินการได้ และพร้อมที่จะฟ้อง ตั้งแต่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี “บิ๊กต่อ” และ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.
แม้จะเคยพูดว่า จะยุติความขัดแย้งและถอนฟ้องคู่กรณีทุกคน เพราะเห็นว่า ตัวเองยังไม่ได้รับความเป็นธรรม

“ที่ให้สัมภาษณ์ว่าจะถอนฟ้องทั้งหมดและจะไม่ฟ้องใครแล้ว หมายความว่า จะต้องได้สิทธิตามถูกต้องโดยชอบธรรม แต่วันนี้ยังไม่ได้รับความยุติธรรม จึงต้องเรียกหาความยุติธรรมตามกระบวนการกฎหมาย หากได้กลับก็พร้อมอโหสิกรรมหมด แต่ตอนนี้ยังไม่ได้กลับ ก็ต้องเดินหน้าต่อสู้ เพื่อหาความยุติธรรมให้กับตัวเอง”
“บิ๊กโจ๊ก” ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีสามารถให้ความเป็นธรรมกับตัวเองได้ โดยระบุว่า นายกฯ สวมหมวก 2 ใบ ใบแรกประธาน ก.ตร. และใบสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของ รักษาการ ผบ.ตร.
เมื่อนายกฯ พูดแล้วว่า คำสั่งไม่สมบูรณ์ อย่าลืมว่า มีมติ ครม.2482 ที่ยังใช้อยู่ ซึ่งเนื้อหาระบุไว้ว่า “หากหน่วยงานใดหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานนั้นต้องปฏิบัติตาม”

ฉะนั้นเมื่อเขาทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่นายกฯ เป็นผู้บังคับบัญชาของ ผบ.ตร. นายกฯต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยการสั่งให้แก้ไขคำสั่ง เพื่อเพิกถอนคำสั่ง แต่ถ้าท่านนายกฯ ยังเพิกเฉยละเลย ก็จะเข้ามาตรา 157 เช่นกัน
“ผมไม่ได้ขู่ แต่เป็นการเดินตามหลักกฎหมาย ถ้าผมจะฟ้องนายกฯ ผมไม่ได้ฟ้องในฐานะประธาน ก.ตร. แต่จะฟ้องในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของ ผบ.ตร. ที่เมื่อรู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติไม่ถูกต้อง ก็ต้องแก้ไขสั่งการให้ดำเนินการให้ถูกต้อง”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

ท่าทีที่แข็งกร้าวของ “บิ๊กโจ๊ก” ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่หลายฝ่ายเชื่อว่ากำลังจะสงบ กลับมาสู่โหมดร้อนแรงอีกครั้ง และมองว่า “บิ๊กโจ๊ก” กำลังเดินเกมเร่งเกินไป ทั้งที่ควรจะให้เวลา “บิ๊กต่อ” แก้ปัญหาสักระยะ
ได้คุยกับนักวิเคราะห์และคนในแวดวงสีกากีรุ่นใหญ่ มองว่าเกมนี้ “บิ๊กโจ๊ก” เปิดศึกหลายด้านอีกรอบ ทั้งที่ควรจะสงบแล้ว และเห็นว่า การเปิดเกมขู่ฟ้องนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เรื่องฉลาด เพราะคนอย่าง “นายกฯ เศรษฐา” ไม่ใช่คนที่จะยอมรับท่าทีแข็งกร้าว ที่ผ่านมาก็ถอยให้มากพอแล้ว
ที่ผ่านมา นายกฯ เศรษฐา ยอมที่จะหาทางลงให้กับ “บิ๊กต่อ” เพื่อเปิดทางให้ “บิ๊กต่อ” กลับไปแก้ปัญหาความขัดแย้งภายใน สตช.

คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเลขา ป.ป.ช.ก็ออกมาให้สัมภาษณ์เปิดทางออกให้ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ก็เพื่อให้กลับไปยุติปัญหา
แต่เมื่อ “บิ๊กโจ๊ก” ออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าว โดยยืนยันจะฟ้องทั้งนายกรัฐมนตรีและ ผบ.ตร. หากยังไม่มีการเพิกถอนคำสั่งของ “บิ๊กต่าย” แนวทางการสร้างความรอมชอม และแนวทางการแก้ปัญหาโดยสันติ ก็เหมือนจะถูกบีบให้แคบลงทันที
“บิ๊กโจ๊กเอง ควรจะทราบว่า ทางออกของปัญหารอบนี้ มีผู้ใหญ่เข้ามาจัดการประสานให้ เพื่อให้มีทางออก ทั้ง “บิ๊กต่อ” “บิ๊กโจ๊ก” และ “บิ๊กต่าย” โดยพยายามบีบพื้นที่ความขัดแย้งให้ลดลง“
“อ.วิษณุ เครืองาม ในฐานะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ลงทุนเปลืองตัวมาแถลงแทนนายกฯ และเคลียร์ข้อกฎหมายในทุกมาตราที่เกี่ยวข้อง แต่ทุกขั้นตอนต้องใช้เวลา จะให้ทันใจ ทันความต้องการของบิ๊กโจ๊กไม่ได้”
ขั้นตอนก็รอเพียง ก.ตร.พิจารณาคำสั่งของ “บิ๊กต่าย” ที่ให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการว่า ถูกต้องและเป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมายตำรวจหรือไม่

หาก ก.ตร.มีมติเห็นว่า เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ “บิ๊กต่อ” ถึงจะมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเดิมของ “บิ๊กต่าย” ได้ และหาก ก.ตร.มีมติเห็นว่า คำสั่งของ “บิ๊กต่าย” ถูกต้อง และยืนยันไม่มีการเพิกถอนคำสั่ง “บิ๊กโจ๊ก” ก็ยังสามารถอุทธรณ์มตินี้ได้อีก
“ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่เรียกร้องความเป็นธรรมได้ ยังมีเวลาก่อนถึงการพิจารณาแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ที่บิ๊กโจ๊กน่าจะรอได้โดยไม่ต้องออกมาแสดงความเห็นที่แข็งกร้าว และไม่ควรเร่งรีบจนเกินไป”
จากที่รับฟังมาทั้งหมดทั้งมวลมีความเห็นตรงกันว่า การเร่งดำเนินการของ “บิ๊กโจ๊ก” จึงเป็นลักษณะ
“น้ำกำลังจะใส ทำไมต้องรีบกวนให้ขุ่น”
ขอเป็นตัวกลางถือคำเตือนนี้ ส่งไปยัง “บิ๊กโจ๊ก” ให้ใจร่มๆ และเปิดใจรับฟัง
รีบจนเกินเกม เร่งจนเกินงาม สุดท้ายต้องระวัง “เครื่องจะพังไม่รู้ตัว”
