วันนี้การเมืองไทย ได้ผ่านโซนอันตรายในช่วงห้าปีแรก ของการมีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไปแล้ว รวมทั้งได้ ปิดสวิตซ์ สว.มรดกชิ้นสุดท้ายของ คสช.ลงด้วย
นับตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ชุดที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร คสช.ได้ครบวาระลงตามรัฐธรรมนูญ แต่ยังต้องอยู่ทำหน้าที่ต่อจนกว่าจะมี สว.ชุดใหม่มารับไม้ต่อ
เป็นการปิดสวิตซ์สว.ที่ฝ่ายการเมืองเฝ้าเพียรหาทางปิดมาตลอดแต่ไม่สามารถทำได้
ต่อจากนี้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในทางการเมือง ต้องไปว่ากันในสภาผู้แทนราษฎรล้วนๆ ตามบทถาวรในรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการเลือกนายกรัฐมนตรี หากมีเหตุต้องสรรหากันใหม่
ช่างบังเอิญที่ถึงคราวต้องปรับ ครม.เศรษฐา 1/2 พอดี จากการลาออกของ ‘กฤษฎา จีนะวิจารณะ’ อดีตรมช.คลัง และเป็นจังหวะเดียวกับที่มี ‘แรงกระเพื่อม’ เกิดขึ้นในรัฐบาล ทั้งการขบเหลี่ยมเรื่องนโยบายกัญชาระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย และปัญหาคลื่นใต้น้ำในพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งโยงไปถึงปัญหาความไม่ลงตัวในนโยบายด้านพลังงานด้วย
วันนี้เพื่อไทย จึงเสมือนเปิดแนวรบกับสองพรรคร่วมรัฐบาลแบบกลายๆ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ทำให้การปรับครม.ที่จะมีขึ้นต่อจากนี้ อาจจะไม่ใช่ออกหนึ่งเข้าหนึ่งหรือเติมเฉพาะในส่วนที่ขาดเท่านั้น แต่คงถือโอกาส จัดสูตรครม.ใหม่ ไปเสียพร้อมๆ กัน เพราะผ่านห้วงเวลาที่เป็นโซนอันตราย ได้ปิดสวิตซ์ สว.ลงไปด้วยพอดี
ต้องวัดใจเพื่อไทยจะเลือกปรับแบบไหน?
หากต้องงการรักษาสัมพันธภาพหรือเคารพนโยบายพรรคร่วมรัฐบาลอย่างที่ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเรียกร้อง ก็คงไม่ไปขยับอะไรมาก แต่ถ้าการออกมาดึงเรื่องกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เป็นการส่งสัญญาณบีบพรรคภูมิใจไทยไปในตัว ก็คงได้เห็นการปรับใหญ่ ที่อาจถึงขั้นต้องมาจัดสูตรครม.กันใหม่
โดยภูมิใจไทย ในฐานะที่เป็นพรรคอันดับสอง เพื่อไทยคงจะเลือกให้อยู่แบบ ‘ถนอม’ รักกันไป แม้จะมีความหลังฝังใจเรื่องฉีกขั้วในอดีต ที่ทำให้นายใหญ่เพื่อไทยต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนนานถึง 17 ปีก็ตาม แต่คงยังไม่ถึงเวลาไปขุดคุ้ยคำพูดเก่าๆ ที่ว่า
‘มันจบแล้วครับนาย’ มาหาเหตุเช็กบิลอะไรกันตอนนี้
ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ เวลานี้้ผู้ที่เป็น ‘ศูนย์รวม’ ของการรวมไทยสร้างชาติไม่อยู่แล้ว จึงต่างคนต่างอยู่ ก๊กใครก๊กมัน ยิ่งมีข่าวการถอนตัวของนายทุนพรรคด้วย ทำให้แทบจะไม่เหลืออะไรไปต่อรอง
วันนี้ในรวมไทยสร้างชาติ หันไปทางไหนก็เจอแต่หน้าคุ้นๆ ที่เคยออกมาเป่านกหวีดไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงสุ่มเสี่ยงต่อการถูกปรับออกจากรัฐนาวาเศรษฐาเป็นพรรคต้นๆ หากต้องมีการเขย่าสูตรรัฐบาลใหม่
เว้นเสียแต่ผู้สนับสนุนหลักยังส่งสัญญาณให้อยู่ต่อได้
ในสถานการณ์แบบนี้ จำนวน 314 เสียงของรัฐบาล จึงน่าจะไม่เพียงพอสำหรับพรรคเพื่อไทย หากต้องเล่นบทแข็งกร้าวในบางเรื่องกับพรรคภูมิใจไทย รวมทั้ง หากต้องปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกไป พรรคสำรองอย่าง ‘ประชาธิปัตย์’ ที่เป็นไพ่ในมือเพื่อไทย คงถึงเวลาต้องถูกนำมาเสริมแกร่งให้รัฐบาลมีมากกว่า 314 เสียง เพื่อรักษาเสียงข้างมากในสภาเอาไว้
ได้เวลาเขย่าสูตรรัฐบาลใหม่ รอว่าดูจะได้เห็นการผสมข้ามสายพันธุ์กันอีกรอบในช่วงไหน จะรอให้สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568 วาระแรก ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ไปก่อน หรือจะชิงลงมือกันเสียตั้งแต่ตอนนี้
ถ้าเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ยังขืน ‘เดินหน้าแลกหมัด’ กันอยู่เรื่อยๆ จากดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ไปถึงการริบงานกรมพัฒนาชุมชนในกระทรวงมหาดไทย ไปให้คนของพรรคเพื่อไทยคุมแทน
นาทีต่อจากนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้หลังสวิตซ์ สว.ถูกปิดลง