ดิไอคอนไม่รอด ‘อิ๊งค์’ เร่งปิดเกมทำแต้ม

14 ต.ค. 2567 - 03:24

  • ดิไอคอน กรุ๊ป กำลังเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด

  • รัฐบาลสบจังหวะเหมาะเข้าทาง เร่งปิดเกมสั่งเชือดทันที

  • บรรดาบอสต่าง ๆ เร่งเคลียร์ แต่ดูแล้วไม่รอด

economic-business-politics-theicon-ing-SPACEBAR-Hero.jpg

ใครที่สงสัย หรือยังมีคำถามในใจว่า คดีธุรกิจขายตรงลวงโลก หรือ ‘แชร์ลูกโซ่’ พันธุ์ใหม่ที่แปลงกายมาในรูปแบบของธุรกิจตลาดขายตรง The iCON Group จะจบลงอย่างไร

ถึงนาทีนี้ ‘ฟันธง’ ได้เลยว่าถึงคราว ‘อวสาน’ อย่างแน่นอน เพราะทั้งรัฐบาลและ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่างถือว่าเป็นคดีที่สามารถสร้างชื่อเรียกกระแส ‘ศรัทธา’ จากประชาชน ที่เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่ลง **‘ล็อก’**อย่างไม่คาดคิด  

เพราะเหตุนี้จึงไม่น่าประหลาดใจที่ทันทีที่ นายกฯ**‘อิ๊งค์’** แพทองธาร ชินวัตร เสร็จสิ้นภารกิจในการไปประชุม ASEAN Summit 2024 และเดินทางกลับมาถึงไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ‘พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์’ จึงต้องรุดไปเร่งรายงานการดำเนินคดีนี้ ถึงตีนบันไดเครื่องบิน ที่ท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง

โฆษกประจำสำนักนายกฯ ‘จิรายุ ห่วงทรัพย์’ ออกมาเปิดเผยว่านายกฯ ‘อิ๊งค์’ สั่งการให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ไปติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการแก้ไขปัญหาให้กับคดีความต่างๆ เพราะช่วงหลังเห็นว่ามีคดีความลักษณะนี้มากขึ้น และให้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และอาจจะดึงคดีนี้ให้เข้าสู่การสอบสวนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ของอธิบดีใหม่ป้ายแดงคนที่ 12  ‘พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ’

ถึงแม้จนถึงขณะนี้จะมีผู้ประสบภัย ที่ได้รับความเสียหายมาร้องทุกข์ที่มาจากหลายสาย หลังจากบรรดาทนาย ‘ตัวตึง’ ทั้งหลายต่างโดดเข้ามารับบทผู้พิทักษ์ประชาชน จะยังมีจำนวนไม่มากนักคือราว 800 ราย ยอดความเสียหายประมาณ 266 ล้านบาท แต่ยอดก็คงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก ‘ปิรามิด’ ของ อาณาจักร ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ กำลังพังทลายลง ทำให้เริ่มมีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อ ต้องขาดทุนจนเป็นหนี้สินรายละหลักแสนถึงหลักล้านบาทปรากฎตัวมาแจ้งความมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ยิ่งหากพิจารณาข้อมูลจากเพจของ ‘The Icon Group หลักฐานแชร์ลูกโซ่’ ที่ระบุว่าน่าจะมียอดเหยื่อที่หลงเข้าไปในวงจรอุบาทว์นี้สูงถึง 367,943 ราย จนถึงเดือนตุลาคมปีนี้

ในเวลาเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สคบ.ที่ดูแลเรื่อง พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดขายตรง ก็ต้องเร่งกอบกู้ภาพลักษณ์ และเล่นงานแบบไม่ยั้งมือ เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มี ‘เทวดา สคบ.’ ตามที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาจนสังคมตั้งคำถามถึงการ ‘เป่า’ คดีจากข้อร้องเรียนที่ผ่านมาของบรรดาผู้เสียหาย   

นอกเหนือจากตัว บอสใหญ่ ‘บอสพอล’ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ดิไอคอนกรุ๊ป คงยากจะพ้นผิดจากสารพัดข้อหาที่จะซัดถล่มมาจากทุกทิศทางแล้ว บรรดา ‘ตัวการร่วม’ ที่อาศัยความเป็นดาราและเข้ามารับบททั้งที่เป็นผู้บริหารและพรีเซ็นเตอร์ ถึงอย่างไรก็คงหนีความผิดไม่พ้น เพียงแต่อาจจะมี ‘ดีกรี’ ของความผิดลดหลั่นกันไปตามสถานะและบทบาทที่ได้รับ

ถึงแม้ ล่าสุด ‘บอสพอล’ วรัตน์พล จะเดินเกมรุก ไม่รอถูกออกจาก ‘หมายจับ’ รีบโผล่ไปปรากฏตัว แสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าพบตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กองบัญชาการสอบสวนกลาง บก.ปคบ. ที่กองปราบปราม เมื่อวันเสาร์ที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่ก็คงเป็นเพียงกลยุทธ์ในการต่อสู้ทางกฎหมายที่พยายามให้รอดจากการเดินคอตกเข้าเรือนจำในระหว่างถูกสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

แต่ก็คงไม่ง่ายเมื่อพิจารณาจากมูลค่าความเสียหายที่น่าจะทะลุหลักหลายพันล้านบาท และกลายเป็นกระแสที่ถูกจับจ้องจากสังคมในทุกย่างก้าว

ซึ่งหากมีการสอบสวนและสรุปสำนวนและดำเนินคดี และแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อไร บอสพอล ในฐานะผู้ต้องหาคนสำคัญ คงถูกคัดค้านการประกันตัวแน่นอน หากดูจากมาตรฐานคดีล่าสุด กรณี **‘แม่ตั๊ก ป๋าเบียร์’**ที่หลอกขาย ‘ทองชุบ’ ซึ่งน่าจะมีความเสียหายน้อยกว่าหลายเท่า   

ส่วนทรัพย์สินทั้งหลายของทั้ง ‘บอสพอล’ และบรรดาบอสดาราที่มีส่วนในตำแหน่งบริหาร และบอสระดับเซเลบทั้งหลายก็คงต้องถูก ปปง. อายัดไว้ทั้งหมด 

คงสายเกินไปแล้วที่จะออกมา ‘ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ’ ยืนยันว่าบริษัทได้เตรียมข้อมูลพยานหลักฐาน พร้อมที่จะให้ข้อมูลแก่กระบวนการยุติธรรม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ของการดำเนินธุรกิจ 

รวมทั้งจัดตั้งศูนย์เยียวยาบรรเทาทุกข์ ให้แก่ผู้ประสบภัย ที่ได้รับผลกระทบจากการทำธุรกิจ โดยอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งในระหว่างนี้อยู่ในการกำหนดทิศทางการเยียวยา 

หากสังเกตให้ดีจะพบว่า คดีนี้มีการ**‘เร่งรัด’** ดำเนินการกันอย่างรวดเร็วมาก โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา บก.ปคบ. ก็มีการนำหมายค้นจากศาลอาญา เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายจำนวน 9 จุด สถานที่ในเครือของ ดิไอคอนกรุ๊ป ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม 

โดยเฉพาะหลักฐานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดขาย และจำนวนการผลิตสินค้า ที่พบว่ามีสินค้าในโกดังน้อยมาก เมื่อเทียบกับยอดขาย ที่ทำให้เห็นได้ชัดทิศทางการทำธุรกิจของบริษัทมุ่งเน้นการหาเครือข่ายผ่านคอร์สออนไลน์ และหว่านล้อมให้เครือข่าย เข้ามาเพื่อเปิดบิลซื้อสินค้ามากกว่าการจำหน่ายสินค้า

ในทางการเมือง หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันว่าจากขนาดของความเสียหายที่น่าจะไม่ต่ำกว่าหลายพันล้านบาท มีผู้เสียหายหลายแสนคน แถมยังเกี่ยวพันกับการนำภาพลักษณ์ของดาราและเซเลบที่น่าเชื่อถือมาเป็นเครื่องมือหากิน สร้างขบวนการ ‘แชร์ลูกโซ่’ พันธุ์ใหม่ขึ้นมา

‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ จึงถูกขึ้นเป็น ‘บัญชีดำ’ ที่เป็นเป้าหมายชั้นดีที่รัฐบาลของ นายกฯ แพทองธารจะใช้เป็น ‘เคสพิเศษ’ ในการช่วยสร้าง **‘เรทติ้ง’**กระแสคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลได้อย่างดี

ยิ่งหากค้นลึกลงไปถึง ‘แบ็คกราวน์’ ของ บอสพอล ถึงแม้จะมีอำนาจเงินในมือ แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นคนไม่มี ‘คอนเน็คชั่น’ ทางการเมืองที่แข็งแรงพอที่จะมี ‘ภูมิต้านทาน’ มากพอที่จะทำให้รอดจากกฎหมาย 

ทำให้ ‘ฟันธง’ได้เลยว่า ปลายทางของเรื่องนี้คงจบเหมือนที่เจ้าตัวเคยนิยามไว้ว่า ‘ขยันผิดที่ ไม่ถึง 10 ปี ก็ซวย...’

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์