กองทุนวายุภักษ์1 ‘ไวอากร้า’ตลาดหุ้นไทย

17 ก.ย. 2567 - 02:30

  • ปัดฝุ่นเครื่องมือการเงินในอดีตที่เคยรุ่งโรจน์

  • กองทุนวายุภักษ์ 1 ชูชีพช่วยชีวิตรัฐบาล

  • โด้ปตลาดหุ้นให้กับมาตื่นตัวอีกครั้ง

economy-government-vayuphak-fund-SPACEBAR-Hero.jpg

เมื่อวานเป็นวันแรกที่ กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ‘เจ้านกกินลม’ กลับมาโบยบินอีกครั้งหนึ่งหลังจากผ่านไปกว่า 10 ปี

การกลับมาคราวนี้ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากบรรดานักลงทุนผู้มี **‘เงินเย็น’**หรือเงินออมค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเมื่อตอนออกกองทุนฯนี้ในครั้งแรกเมื่อปี 2546 โดยคาดว่าในการระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อยรอบนี้ 3-5 หมื่นล้านบาท ในระหว่างวันที่ 16-20 กันยายน น่าจะมียอดจองเกินปริมาณที่กำหนดอย่างแน่นอน 

ย้อนหลังไปเมื่อ 21 ปีที่แล้ว ที่มีการเปิดตัวกองทุนวายุภักษ์ออกมาเป็นครั้งแรก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยัง ‘ขาดความเข้าใจ’ และมีทัศนคติในทางลบกับกองทุนรวมฯเพราะยังเป็นเรื่องใหม่ ประกอบกับมีการออกแบบให้มีการจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในอัตราค่อนข้างต่ำเพียง 3% ต่อปี ตลอดอายุของกองทุน 10 ปี ทำให้ ‘ไม่ค่อยได้รับความสนใจ’ จากนักลงทุนมากนัก  

แต่ในครั้งนี้กระทรวงการคลังกำหนดเป้าหมายในการระดมทุนในครั้งนี้ไว้ราว 1.5แสนล้านบาท โดยจะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไปในวงเงิน 3-5 หมื่นล้านบาท ที่เหลืออีกราว 1-1.2 แสนล้านบาท จะระดมทุนจากนักลงทุนสถาบันในวันที่ 25-27 กันยายน 

มีการออกแบบกองทุนให้มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะ ‘การจ่ายผลตอบแทน’ ในรูปปันผลให้กับนักลงทุนซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งจะมาจากการระดมทุนในคราวนี้จำนวน 1.5 แสนล้านบาท ในอัตรา 3-9% 

โดยใช้กลไกการคุ้มครอง ‘ผลตอบแทน’ ของกองทุนฯที่อาศัยกองทุนหลักเดิมที่มีอยู่ราว 3.54 แสนล้านบาท ซึ่งภาครัฐหรือกระทรวงการคลังและนักลงทุนภาครัฐเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. มาเป็น ‘ตัวช่วย’ เพื่อให้สามารถจ่ายปันผลได้ไม่ต่ำกว่าผลตอบแทนขั้นต่ำคือ 3% ในบางปีที่ตลาดผันผวน 

แต่ในระหว่างทางตลอดอายุของกองทุน 10 ปี จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนตามจริงไปจนถึงเพดานสูงสุด 9% ทำให้เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร หรือหุ้นกู้ภาคเอกชนแล้วมีความน่าสนใจมากกว่า เพราะนอกจากความเสี่ยงต่ำแล้ว ยังโอกาสได้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 9%

จากอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ผ่านมาของกองทุนหลักที่ถือโดยผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ราวปีละ 3.75% หากคำนวณตามอัตราผลตอบแทนทบต้น สมมุติว่ามีการลงทุน 100 บาท ตลอด 10 ปี จะเท่ากับได้ผลตอบแทนรวมสูงถึง 45.41 บาท หรือราว 45.41% จากเงินต้น 

ขณะเดียวกันถึงแม้จะไม่ได้ระบุว่ามี ‘การคุ้มครองเงินต้นเต็มตามจำนวน’ เมื่อครบอายุกองทุน 10 ปี เพราะต้องขึ้นอยู่กับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิหรือ NAV ในปีที่ 10 แต่ก็เชื่อว่าด้วยกลไกการออกแบบที่เปิดให้ ผู้จัดการกองทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายขึ้น

มีการกำหนดนโยบายการลงทุนในรูปแบบผสม mixed fund ที่แบ่งการถือครองเป็นหลักทรัพย์สภาพคล่อง และหลักทรัพย์เชิงรุก และยังเพิ่มประเภทที่ 3 ของหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งรวมไปถึงสินทรัพย์ใดๆก็ได้ ตั้งแต่ตราสารหนี้ที่เป็น investment grade และ non investment grade และยังสามารถใช้ตราสารอนุพันธ์ derivatives เพื่อป้องกันความเสี่ยงได้ด้วย ครอบคลุมเกือบทุกประเภทของ financial instrument

ทำให้เชื่อว่าน่าจะบริหารจัดการกองทุนฯให้สามารถได้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี และในปีสุดท้ายราคาหน่วยลงทุนก็ไม่น่าจะต่ำกว่าราคาที่มีการเสนอขายที่หน่วยละ 10 บาท ทำให้โอกาสที่จะต้องไปอาศัย ‘ตัวช่วย’ ที่อาจจะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ข. คือภาครัฐ ที่อาจจะต้องควักเนื้อมีไม่มากนัก

คงต้องยอมรับว่าการประกาศจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 1 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยพลิกกลับมาเป็น ‘ขาขึ้น’ โดยดัชนีหุ้นไทยพุ่งขึ้นมาถึงกว่า 135-140 จุด เนื่องจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติหันกลับมาซื้อหุ้นไทย เพื่อดักหน้า Front Runing จนดัชนีขึ้นมายืนอยู่เหนือระดับ 1,420 จุดได้ 

ถึงแม้ในช่วงนี้ดัชนีจะเริ่มพักตัวก็น่าจะเป็นเพราะ รอการเข้าสู่ตลาดฯซื้อหุ้นของกองทุนวายุภักษ์จริง ๆ ในช่วงต้นเดือนตุลาคม หลังจากมีเม็ดเงินเข้ามา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเม็ดเงินทั้งหมดจะนำมาลุยซื้อหุ้นทั้งหมดในทันที แต่น่าจะเป็นไปในลักษณะทยอยเก็บหุ้นที่มีพื้นฐาน และมีอัตราการจ่ายปันผลดีที่อยู่ในเป้าหมายไปเรื่อย ๆ ตามจังหวะ 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าหากไม่มีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาเป็นแรงหนุนเพิ่มขึ้น แต่เม็ดเงินถึง 1.5 แสนล้านบาทของกองทุนวายุภักษ์ 1 ก็น่าจะเป็นตัวช่วยชั้นดีที่จะช่วย ‘พยุงดัชนี’ หุ้นไทยไม่ให้เกิดความผันผวนรุนแรง หากเกิดวิกฤตที่ไม่คาดคิด

ถึงนาทีนี้อย่างน้อย ๆ ในระหว่างที่ รัฐบาลของนายกฯ อิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร ยังต้องใช้เวลาตั้งหลัก และเริ่มขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการด้านเศรษฐกิจต่างๆ ก็ยังพอจะวางใจหมดห่วงได้ว่าแนวรบจากฝั่งตลาดหุ้นจะไม่สร้างปัญหาไปสักระยะหนึ่ง...

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์