นับเป็นมหากาพย์จริง ๆ สำหรับความพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรม ‘ล้างผิด’ให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง หลังประเทศติดหล่มความขัดแย้งมามานานกว่าสองทศวรรษ
จากสงครามสี ‘เหลือง-แดง’ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นช่วงปลายปี2549 หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ‘บิ๊กบัง’ และคณะ จากนั้น ก็นำไปสู่การชุมนุมทางการเมืองแบบกีฬาสีเหลือง-แดงตามมา
เหตุเพราะการยึดอำนาจของบิ๊กบัง ได้ส่งไม้ต่อให้กับรัฐบาลขิงแก่ ที่นำโดยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในเวลาอันรวดเร็ว และรัฐบาลก็เร่งจัดการเลือกตั้งคืนอำนาจให้กับประชาชน จนกลุ่มอำนาจเดิมได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก
เมื่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เกิดอาการ ‘เยี่ยวไม่สุด’ จึงนำมาสู่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งมาพร้อมกับชุดความคิดปฏิรูปประเทศ จนทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเวลานานถึง 9 ปี
แต่ความพยายามที่จะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ผ่านคณะกรรมการหลายชุด ซึ่งมีทั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ไม่ประสบความสำเร็จ
ว่ากันว่าส่วนหนึ่งมาจากรากเหง้าความคิดที่ว่า ‘เหลือง-แดง’ ต่างล้วนเป็นปัญหาของบ้านเมือง!!
เมื่อจมอยู่ในปลักความคิดที่ว่า จึงต้องใช้กฎหมายเข้าดำเนินการชนิดที่ผิดเป็นผิด-ถูกเป็นถูก ความพยายามหาทางออกจากหล่มความขัดแย้ง ผ่านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า จึงไม่ประสบผลสำเร็จ
กระทั่งกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา อัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) พร้อมคณะ ในนามของพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคฯ ได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ...เข้าสู่การพิจารณาของสภา
ซึ่งเดิมร่างฉบับนี้ วิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ รทสช.เป็นตัวตั้งตัวตีภายใต้การผลักดันร่วมกับพีระพันธุ์ และถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ **กปปส.**ซึ่งมี 3 เงื่อนไขสำคัญคือ ไม่มีเรื่องความผิด มาตรา 112 ความผิดการทุจริตคอร์รัปชั่น และความผิดอาญาร้ายแรง
ทว่าร่างฉบับนี้ของ รทสช.ถูกเบรกจากพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาล ด้วยการขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาให้รอบคอบก่อน และอยากให้เกิดความเป็นเอกภาพขึ้นในพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ยังไม่มีความชัดเจน **รทสช.**จึงได้ยื่นร่างของตัวเองต่อสภาโดยไม่รอ เพื่อประกบกับร่างของพรรคก้าวไกล ที่นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง ไม่เว้นมาตรา 112 และถือเป็นการกดดันพรรคเพื่อไทยไปด้วยในตัว
อีกทั้ง เห็นว่ามีการศึกษากันเป็นสิบ ๆ ปี จนพรุนไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องมานับหนึ่งศึกษากันใหม่อีก
ขณะที่บางกระแสบอกก่อนยื่นร่างต่อสภา **รทสช.**ได้ให้พรรคเพื่อไทยดูเนื้อหาทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อเพื่อไทยยังมีอาการกึกๆ กักๆ รอสัญญาณจากคนชั้น 14 จึงทำให้คนใน **กปปส.**เดิม รอต่อไปอีกไม่ได้ อยากจะเห็นบรรยากาศแบบ ‘วิน-วิน’ มากกว่า
ที่ไม่ใช่ ‘วิน’ อยู่คนเดียว!!
สุดท้ายมีข่าวล่ามาเรือ ลือกระฉ่อนว่า เพื่อไทยเองต้องการพ่วงความผิด มาตรา 112 เพิ่มเข้าไปด้วย ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ยังตกลงกันไม่ได้ จึงทำให้เรื่องนิรโทษกรรมกลับมาเป็นกระแสร้อนอีกครั้ง
ขณะที่มีบางคนโยนสูตรใหม่ออกมา ให้แยกร่างกันระหว่างนิรโทษกรรมกับความผิดมาตรา 112 โดยความผิดหลังนี้ให้ไปใช้ช่องทางขอพระราชทานอภัยโทษแทน
ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 30 มกราคม 67 พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาประกาศชัดขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษารายละเอียดก่อนเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยยกประเด็นความผิดมาตรา 112 ขึ้นมาชูเพื่อปิดห้องคุยกันวงเล็กให้ตกผลึกเสียก่อน
ขณะที่พรรคก้าวไกล ที่เสนอร่างฉบับของตัวเองนิรโทษแบบเหมาเข่งไปรออยู่ก่อนแล้ว ก็พร้อมหนุนข้อเสนอของเพื่อไทย โดยจะนำเนื้อหาในร่างที่เสนอต่อสภาไว้ไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นด้วย
สุดท้ายนิโทษกรรมสองแนวทาง หรือสูตร**‘ไฮบริด’** ที่ว่านี้จะไปต่ออย่างไร มีหลายกลุ่มออกมาส่งเสียงเชียร์ให้เดินหน้าทำได้ ทำเลย ไม่ต้องรอ เพราะไม่เหมือนแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต หรือโครงการแลนด์บริดจ์
ที่สำคัญทำแล้วมีแต่ได้กับได้ แถมยังช่วยให้บรรยากาศการเมืองผ่อนคลายลงได้อีกเป็นกองประมาณนั้น