นับตั้งแต่รัฐบาลของนายกฯ เศรษฐา ผ้าขาวม้าหลากสี เข้ามารับตำแหน่งเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว คงปฎิเสธไม่ได้ว่าการท่องเที่ยว กลายเป็นเครื่องยนต์หลักในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ยังคงเติบโตได้สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปีนี้ 2567 ที่มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 1.5%
ก็เพราะได้รายได้จากการท่องเที่ยวและบริการเป็น ‘เดอะแบก’ อย่างแท้จริง ในขณะที่เครื่องยนต์หลักตัวอื่นไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายภาครัฐ การลงทุนภาครัฐ และเอกชน รวมถึงการส่งออก ยังคงอยู่ในอาการ ติด ๆ ดับ ๆ
จากตัวเลขไตรมาสแรก มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเมืองไทยราว 9.37 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 44% สร้างรายได้เข้าประเทศถึงกว่า 4.54 แสนล้านบาท และหาดูตัวเลขถึงสิ้นเดือนเมษายนปีนี้ ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วถึงกว่า 12 ล้านคน
คงเพราะสาเหตุนี้จึงทำให้ การท่องเที่ยวกลายเป็น ‘ความหวังของหมู่บ้าน’ และทำให้รัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะตัวนายกฯ เศรษฐา ที่มีความสนใจในเรื่องนี้เป็นทุนเดิม จะมุ่งให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการส่งเสริมและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกวิถีทาง
ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลก็มีมติเห็นชอบแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเพิ่ม ‘วีซ่าฟรี’ จากเดิม 57 ประเทศ เป็น 93ประเทศ โดยจะได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา สามารถพำนักในประเทศไทยไม่เกิน 60 วัน เพื่อการท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจและการทำงานระยะสั้น
ทั้ง 36 ประเทศ ที่จะได้รับสิทธิ์ ‘วีซ่าฟรี’ แยกเป็น 13 ประเทศที่ยังต้องขอ Visa on Arrival : VOA คือ
ภูฏาน บัลกาเรีย ไซปรัส ฟิจิ จอร์เจีย อินเดีย คาซัคสถาน มอลตา เม็กซิโก ปาปัวนิวกินี โรมาเนีย อุซเบกิสถาน และไต้หวัน
6 ประเทศที่ยกเว้นการตรวจลงตราตามข้อตกลงระหว่างกัน แต่จะอยู่ในไทยได้ไม่เกิน 60 วัน คือ
จีน ลาว มาเก๊า มองโกเลีย รัสเซีย และกัมพูชา
อีก 17 ประเทศ ที่จะได้รับยกเว้นการตรวจลงตรา ได้แก่
แอลแบเนีย โคลัมเบีย โครเอเชีย คิวบา โดมินิกา โดมินิกัน เอกวาดอร์ กัวเตมาลา จาเมกา จอร์แดน โคโซโว โมร็อคโค ปานามา ลังกา ตรินิแดดและโตเบโก ตองกา และ อุรุกวัย
พร้อมทั้งมีการเพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ Destination Thailand Visa (DTV) เพื่อให้คนต่างด้าวที่ต้องการเข้ามาเพื่อทำงานและท่องเที่ยวไปพร้อมกัน (workcation) ในระยะสั้น เช่น กลุ่มที่มีทักษะสูง (foreign talent) และกลุ่มอาชีพอิสระ (digital nomad/freelancer) หรือ เข้ามาเพื่อทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ การเรียนมวยไทยและศิลปะป้องกันตัว การเรียนทำอาหาร การเรียนและฝึกซ้อมกีฬา การรักษาพยาบาล การอบรม การสัมมนา การจัดแสดงศิลปะและดนตรี
เมื่อก่อนจะสามารถขอได้ในฐานะนักท่องเที่ยว และอยู่ได้ไม่เกิน 60 วัน แต่จะเพิ่มขึ้นให้สามารถอยู่ได้ไม่เกิน 180 วัน อัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา 10,000 บาท
นอกจากนี้สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาเรียนระดับปริญญาตรีขึ้นไป ที่ได้รับการตรวจลงตรา Non-Immigrant Visa รหัส ED ยังสามารถอยู่ต่อได้อีก 1 ปี หลังจบการศึกษา เพื่อหางาน เดินทางท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ในประเทศไทยได้ ไทย
ขณะเดียวกัน ยังปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวพักระยะยาว (Long Stay) สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่ประสงค์ ‘ใช้ชีวิตบั้นปลาย’ ในประเทศไทย โดยจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกันยายน ปี 2567
ทั้งนี้จะมีการ ‘ปรับลดเงินประกันสุขภาพ’ สำหรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) รหัส 0-A จากเดิมจำนวน 3 ล้านบาท เหลือเพียง 4หมื่นบาท สำหรับผู้ป่วยนอก และ 4 แสนบาท สำหรับผู้ป่วยใน
มาตรการทั้งหมด กระทรวงการต่างประเทศคาดว่าจะ ‘สูญเสียราย’ ได้จากการดำเนินการขอวีซ่าราว 12,300 ล้านบาท แต่หากเทียบกับผลตอบแทนจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลเชื่อว่าจะทำให้สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ราว 8 แสนล้าน ถึง หนึ่งล้านล้านบาท
เปิดประตูต้อนรับกันขนาดนี้ ก็คงหวังให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ‘แห่แหน แต๋นแต้’ พากันมาเที่ยวไทยกันเยอะๆ ให้ทะลุ 40-50 ล้านคนไปเลย เศรษฐกิจไทยจะได้ฟื้นจาก ‘โคม่า’ เสียที ส่วนเรื่องอื่นรออีกสองสัปดาห์ก็ละกัน...