ในที่สุดข่าวไร้สาระเรื่อง อนุทิน ชาญวีรกูล กับ เนวิน ชิดชอบ มุดเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ไปพบกับ ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็มีสาระขึ้นเมื่อ ‘เสี่ยหนู-อนุทิน’ พลิกลิ้นยอมรับกับสื่อด้วยตัวเอง
‘ครับ ผมเป็นคนชวนนายเนวินไปเอง จบนะ ไม่ต้องถามอะไรต่อ เพราะการกินข้าวเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องภายใน เบิร์ธเดย์บอย’
แม้จะยอมรับแบบกึ่งตัดรำคาญ หลังหลบหลีกหนีนักข่าวอยู่หนึ่งวันเต็ม แต่อนุทิน ก็ยืนให้ซักถามอยู่นาน โดยปฏิเสธในหลายเรื่อง แม้แต่คำพูดที่เป็นวลีเด็ดของเนวินในอดีต ‘มันจบแล้วครับนาย’ ก็ยืนยันไม่มีคำพูดนี้เช่นกัน
วันนี้ลำพัง 71 สส.ในมือพรรคภูมิใจไทย ที่ตอนนี้เหลือปฏิบัติหน้าที่ในสภาเพียง 68 คน คงไม่มีพลังพอให้ทักษิณ เปิดประตูบ้านจันทร์ส่องหล้า รับเนวินที่ฝากรอยแค้นฝังลึกไว้นานถึง 17 ปีเต็ม เข้าไปทานอาหารมื้อค่ำถึงในบ้านได้
คงไม่ใช่เพราะหายโกรธหรืออภัยทานทางการเมือง
แต่บังเอิญเป็นพรรคภูมิใจไทย ที่**กุมเสียงสว.**ไว้เกินครึ่งค่อนสภาสูง และอยู่ในจังหวะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย กำลังเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองหลายเรื่อง ที่เห็นได้ชัดคือถูกวุฒิสภาหักเรื่องแก้กฎหมายประชามติ ไม่เอาตามร่างเดิมที่สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบตามมาเป็นลูกระนาด
โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นโยบายเรือธงอีกลำของเพื่อไทยที่ต้องติดหล่ม และจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ล้วน**ต้องอาศัยเสียงสว.**ทั้งสิ้น จึงได้เห็นการหวนมาคืนดีกันของ ‘ทักษิณ-เนวิน’ ตามที่ปรากฎเป็นข่าว
ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องให้รอนานถึงวันนี้
แต่คำถามคือ แล้วทำไมเลือกมาคืนดีกันในจังหวะเวลานี้ และใครที่เป็นฝ่ายยื่นไมตรีให้ก่อน ซึ่งหากมองในมุมของความจำเป็นที่รอไม่ได้ ก็น่าจะเป็นฝ่ายของทักษิณมากกว่า เพราะในสถานการณ์นี้ภูมิใจไทย ยังตีไพ่เล่นต่อไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน
ส่วนทักษิณ เริ่มจะขยับตัวยากหากไม่ทะลายด่านสว.เสียก่อน ขณะเดียวกันการตัดสินใจให้ลูกสาวมายืนอยู่ในจุดนี้ก่อนเวลาอันควร ก็ไม่รู้จะยืนระยะต่อไปได้อีกนานแค่ไหน และที่สำคัญขืนปล่อยไว้นาน อำนาจต่อรองในมือก็จะเหลือน้อยลง
จึงต้องเปิดการเจรจาเสียตั้งแต่ขณะที่ยังมีอำนาจเต็มอยู่
สำหรับข้อเสนอที่ยื่นหมูยื่นแมว ประนอมอำนาจ จะเป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ว่ากันเป็นเรื่อง ๆ ไป หรือจะผูกเสี่ยว เป็น ‘หยิน-หยาง’ ทางการเมืองคู่กันไปตลอด ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น
แต่หากประเมินจากความจำเป็นของทั้งคู่แล้ว น่าจะอาศัยพึ่งพากันในทางการเมืองแบบอยู่กันยาว ๆ มากกว่า ส่วนจะมีคำว่า ‘นายกฯ คนละครึ่ง’ รวมอยู่ด้วยหรือไม่ ภายใต้สถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทย ไม่มีทางให้เลือกมากนัก จึงไม่ใช่เงื่อนไขต้องห้าม ดีไม่ดีอาจจะมีอะไรที่มากกว่าด้วยซ้ำ
เพราะทั้งคู่ต่างรู้ทางกันดี โดยเนวิน ในทางการเมืองถือเป็นระดับยอดฝีมือในยุทธจักร ที่ในพรรคเพื่อไทยคงหาคนเทียบยาก ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อทักษิณมาแล้ว แต่ทั้ง ‘เนวิน-อนุทิน’ และภูมิใจไทย ถนัดการเมืองแบบบ้านใหญ่มากกว่า ไม่มีมวลชนแบบ ‘ด้อมส้ม-ด้อมแดง’ อย่างที่เพื่อไทยและทักษิณมี
เมื่อภูมิใจไทย ไม่มี ‘ด้อมน้ำเงิน’ และขายไม่ได้ในกลุ่มรากหญ้าและชนชั้นกลาง การทำงานการเมืองในระยะยาว หากต้องการรักษาอำนาจเอาไว้นาน ๆ จึงต้องหันมาประนอมอำนาจกับนายเก่า โดยลืมคำว่า มันจบแล้วครับนาย
เปลี่ยนมาเป็นคำว่า ‘มันยังไม่จบครับนาย’ แทน!!
ถ้าเพื่อไทยและภูมิใจไทย ลงตัวกันได้ในลักษณะนี้ มองเผิน ๆ เหมือนจะไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ผ่านทางสภา เพราะคงเปิดไฟเขียวผ่านตลอด ขอแค่ให้สองพรรคคุยกันรู้เรื่อง ไม่ว่าจะสถานบันเทิงครบวงจร ธนาคารไร้สาขา กฎหมายกัญชา การขุดพลังงานในทะเลอ่าวไทย หรือต่อให้ใหญ่กว่านั้นก็เถอะ
คงไม่มีใครมาขวางหรือหยุดยั้งได้
แต่ในทางกลับกัน หากประนอมอำนาจแล้ว กระทำการบุ่มบ่ามย่ามใจ ใช้เสียงข้างมากลากไป แบบไม่คำนึงถึงความถูกผิด มันอาจจะเป็นตัวเร่งอุณหภูมิการเมืองให้ร้อนแรงขึ้น กลายเป็นเอาเรื่องที่ธรณีสงฆ์ มามัดรวมเข้ากับที่ดินเขากระโดง
ถึงตอนนั้น แทนที่จะอยู่ได้นาน ๆ ก็อาจทำให้เร่งเกี่ยวก้อยไปด้วยกันเร็วขึ้น?!
ในวันข้างหน้าการเมืองจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ แต่วันนี้ขอรอมชอมประนอมอำนาจ ออกจากสถานการณ์ตรงนี้ไปให้ได้ก่อน เพราะดุลอำนาจที่มีอยู่สูงลิ่วในมือลูกน้องเก่า กับลูกสาวที่คงยืนระยะต่อได้อีกไม่ไกล
ก็เลยได้เวลาประนอมอำนาจกันด้วยเหตุนี้แล…