วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายนนี้ จะมีการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 แทน ปดิพัทธ์ สันติภาดา "หมออ๋อง" ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตัดสินให้ยุบพรรคก้าวไกล
สนามนี้เป็นการดวลกันระหว่างผู้สมัครจากสองพรรคใหญ่ "โฟล์ค ณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์" จากพรรคประชาชน และ "บู้ จเด็ศ จันทรา" จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งการแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือด เข้มข้น
เพราะต่างขนทีมลงพื้นที่หาเสียง ใช้สารพัดกลยุทธ์ในการขอคะแนนจากประชาชน ทั้งปราศรัยใหญ่ ดาวกระจาย เคาะประตูบ้าน เจาะชุมชน ตอนแรกคอการเมืองให้น้ำหนักไปที่ทีมหมออ๋อง ที่เป็นเจ้าของเก้าอี้เดิมน่าจะได้เปรียบกว่า ทั้งในฐานะแชมป์เก่าและคะแนนเห็นใจจากการถูกยุบพรรคก้าวไกล
แต่หลังผู้สมัครที่พรรคประชาชนให้การสนับสนุน พ่ายเลือกตั้งติด ๆ กันทั้งการเลือกตั้งนายก อบจ.พิษณุโลก และนายก อบจ.ราชบุรี ที่ไม่สามารถเอาชนะกลุ่มบ้านใหญ่ได้ โดยมีคะแนนทิ้งห่างกันหลายหมื่น
แสดงว่ากระแสคะแนนสงสารจากการยุบพรรคก้าวไกลส่งไปไม่ถึง!!
นอกจากนั้น การสรุปบทเรียนความพ่ายแพ้นายก อบจ.ราชบุรี ที่มีลักษณะเฉพาะของการเมืองท้องถิ่นอันแตกต่างจากการเลือกตั้งทั่วไป ไม่มีการลงคะแนนล่วงหน้า ไม่มีการเลือกตั้งนอกเขต แถมยังถูกพรรคการเมืองที่อยู่คนละขั้วรุมกินโต๊ะ สกัดไม่ให้พรรคประชาชนแจ้งเกิดในสนามท้องถิ่นจึงทำให้ผู้สมัครพรรคประชาชน พ่ายไปแบบยับเยิน แม้จะพยายามปลุกปลอบกันเองให้สู้ต่อ เพราะคะแนนที่ได้มานั้น มีมากกว่าที่ลงสมัครครั้งแรกถึงหนึ่งเท่าตัวก็ตาม
แต่ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรมันก็คือแพ้นั่นแหล่ะ!!
มาวันนี้ ที่สนามเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 1 พิษณุโลก ดูเหมือนจะมาอารมณ์เดียวกันอีก เมื่อหมออ๋อง โพสต์ข้อความส่งสัญญาณบางสิ่งบางอย่างออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า
"การชนะเลือกตั้งซ่อม ไม่ง่ายนะครับ ไม่มีเลือกตั้งนอกเขต ไม่มีเลือกตั้งล่วงหน้า นักการเมืองอื่นๆ นายก สจ สท เครือข่ายอสม หัวคะแนน จัดเต็มคลังแสง รวมคะแนนกัน อำนาจรัฐ"
คงไม่ต้องเสียเวลาเดาว่า หมออ๋อง กำลังคิดอะไรอยู่กับผลการเลือกตั้งซ่อมสส.พิษณุโลก เขต 1 ที่กำลังจะมาถึงในวันอาทิตย์นี้
โดยบรรยากาศการแข่งขันในพื้นที่ช่วงโค้งสุดท้าย หากเปรียบเป็นการแข่งขันฟุตบอล พรรคประชาชน กำลังถูกคู่แข่งบุกหนักแบบพับสนามเล่น
พรรคส้มอยู่ในอาการแผ่ว ไม่คึกคัก เหมือนเหลือหมออ๋อง ฮึดสู้อยู่คนเดียว ขณะที่อีกฝ่ายกำลังฮึกเหิม มีสารพัดกลไก เครือข่ายหัวคะแนน ผู้นำท้องถิ่น ออกทำงานกันอย่างเข้าใจ เข้าถึง ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพใหญ่ภาคเหนือตอนล่างเพื่อไทยนาม สมศักดิ์ เทพสุทิน นักการเมืองผู้เจนจบกระบวนยุทธ์ ที่หยั่งรู้การเมืองเรื่องเลือกตั้งเป็นอย่างดี
งานนี้คอการเมืองเมืองมองว่า หากพรรคสีส้ม จะต้องเสียเก้าอี้สส.พิษณุโลก เขต 1 ให้กับพรรคเพื่อไทย คงไม่ใช่เพราะกระแสความเห็นใจส่งไปไม่ถึงเมืองสองแควเท่านั้น แต่มาจากองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย
ทั้งตัวผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ที่ถูกโยกมาจากเขตเลือกตั้งที่ 3 ด้วยสายตาอันคมกริบของแม่ทัพสมศักดิ์ ที่มีความโดดเด่นเหนือผู้สมัครพรรคส้ม ซึ่งสอดรับกับธรรมชาติของการเลือกตั้งซ่อม ที่มักจะเลือกตัวบุคคลมากกว่าพรรค แถมยังมีปัจจัยหนุนเนื่องอย่างที่หมออ๋องระบายควาในใจไว้ข้างต้น
แม้หมออ๋อง จะเคยชนะเลือกตั้งและครองเก้าอี้ สส.พิษณุโลก เขต 1 มาสองสมัยติดกันตั้งแต่ปี2562 และปี2566 ด้วยคะแนนที่ทิ้งห่างผู้สมัครคู่แข่งหลายหมื่นคะแนนก็ตาม
โดยย้อนไปดูผลการการเลือกตั้ง สส.พิษณุโลก เขต 1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตพรรคก้าวไกล ชนะเลือกตั้ง ด้วยคะแนน 40,842 คะแนน อดุลวิทย์ วิวัฒน์ธนาฒย์ พรรคพลังประชารัฐ มาเป็นที่ 2 ได้ 19,096 คะแนน ณัฐทรัชต์ ชามพูนท พรรคเพื่อไทย ได้ 18,180 คะแนน และ ธนิท กิตตจารุรักษ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 10,229 คะแนน
แต่การเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 ในวันที่ 15 กันยายนนี้ มีผู้สมัครเพียง 2 พรรค คะแนนจะไม่กระจายเหมือนการเลือกตั้งใหญ่ โดยมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 138,705 คน มีหน่วยเลือกตั้ง 208 หน่วย ไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า และการเลือกตั้งนอกเขต
ประเมินจากเหตุปัจจัยทั้งหมดที่ว่ามาแล้ว สนามเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 1 พิษณุโลก เที่ยวนี้พรรคสีส้ม มีโอกาสสูงที่จะพ่ายแพ้ต่อเนื่องซ้ำเป็นคำรบสาม แม้ผลโพลมหาวิทยาลัยนเรศวร ล่าสุดผู้สมัครค่ายสีส้มจะมีคะแนนนำทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่นก็ตาม
แต่คำถาม คือ ยอดผู้มาใช้สิทธิ์จะแห่แหนแตร๋นแต๋นแต้กันมาลงคะแนนให้ผู้สมัครสีส้มมากมายขนาดไหน หรือหนาตาเพราะจัดการกันมา
งานนี้คงแพ้ชนะกันไม่มาก แต่เมื่อแพ้ไม่ว่าจะกี่คะแนนก็เรียกว่าแพ้อีกนั่นแหล่ะ!!