ตามแผน Exit Strategy ของ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ ‘บอสพอล’ ดิไอคอน กรุ๊ป ที่ถูกออกแบบไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ตัดสินใจเดินหน้าในการสร้างอาณาจักรธุรกิจขายตรงลวงโลกขึ้นมา เป้าหมายสูงสุดคือการนำบริษัท ‘ดิไอคอน กรุ๊ป’ เข้าสู่ตลาดหุ้นแบบเท่ ๆ โดยการเจรจา X ซื้อหุ้นเพิ่มทุนหรือ Backdoor Listing กับบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อ ‘ฟอกบริษัท’ และ ‘ฟอกตัว’เขาเองแบบเนียน ๆ แถมยังหวังฟันกำไรจากราคาหุ้นอีกรอบ
แต่ ‘คนคำนวณ หรือจะสู้ฟ้าลิขิต’ ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึง ‘ฝั่งฝัน’ ดีลยังไม่ทันเกิด ทุกอย่างก็พังทลายลง เมื่อต้องเผชิญกับ พลานุภาพของ ‘โซเชียลมีเดีย’ ที่บรรดา ‘เหยื่อ’ ผู้เสียหาย ลุกขึ้นมา ‘ตะโกน’ และบดขยี้อาณาจักรของเขาจนแทบตั้งตัวไม่ติด
ฉากจบของมหากาพย์ธุรกิจขายตรงลวงโลกมาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้ และ ‘พอล’ ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือกฎหมาย ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงพร้อมกับ 17 บอส ทั้งชายและหญิง เดินคอตกถูกนำตัวไปฝากขังอยู่ในเรือนจำคลองเปรมจนถึงเวลานี้
ถึงแม้จะต้องเปลี่ยนที่นอนไปอยู่ในเรือนจำชั่วคราว แต่ดูเหมือนทุกอย่างยังไม่ถึงจุด ‘ปิดเกม’ หรือ End Game เพราะ ‘พอล’ได้มีการเตรียมการล่วงหน้าไว้แล้วว่า หากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดจะต้องเดินหมากต่อไปอย่างไร เพราะเขามีการศึกษาบทเรียนจาก ‘เคส’ เก่า ๆ ในอดีตมาเป็นอย่างดี
ที่ผ่านมา สูตรสำเร็จของขบวนการฉ้อโกง หรือ แชร์ลูกโซ่ เมื่อกลลวงที่ใช้หลอกเหยื่อเริ่มไม่ได้ผล ‘บิ๊กบอส’ และบรรดาบอสที่เป็นแม่ข่ายระดับท๊อป ๆ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีผ่องถ่าย โยกย้ายทรัพย์สินออกไปเมืองนอก หรือโยกไปฝากไว้กับคนใกล้ชิดที่ไว้ใจ
พร้อมกับใช้กลยุทธ์แบบเดิม ๆ คือ ปล่อยให้ ‘ล้ม’ แล้ว ‘หนี’ไปต่างประเทศเพื่อเสวยสุข แต่หากหนีไม่รอดก็ต้องทำใจว่าจะต้องไปจบลงที่ ‘คุก’
แต่สำหรับ ‘พอล’ เขาคิดสวนทางกับคนอื่น แทนที่จะ ‘หนี’ เขาเลือกที่จะเดินเข้า ‘ชน’ ท้าทายกับมรสุมที่จะถาโถมเข้ามาทุกทิศทุกทาง เดินเกมไปตามบทที่เขียนไว้ล่วงหน้า เพื่อพลิกบทบาทจาก ‘บอสใหญ่’ ที่มีภาพของหัวหน้าแก๊งค์ 18 มงกุฎตัวร้าย ที่หลอกต้มตุ๋นชาวบ้านหลายแสนคน ให้กลับกลายเป็น ‘เหยื่อ’ ที่น่าสงสารที่กำลังถูกกระทำ
‘พอล’ เลือกที่จะเป็นคนกำหนดเกมมากกว่าที่จะตั้งรับ และยังคงอาศัย **‘พลานุภาพ’**ของสื่อเป็นอาวุธอันทรงพลังในการต่อสู้กับขบวนการทางกฎหมายที่จะพุ่งเข้าเล่นงานเขาจากทุกทิศทาง
ตั้งแต่วันแรกที่ ‘พายุสื่อ’ พัดเข้าถล่มใส่อาณาจักรดิไอคอน กรุ๊ป เขาเจตนาที่จะเปิดเกมใหม่ โดยไปออกรายการ ‘โหนกระแส’ ที่มี ‘เรทติ้ง’ คนติดตามมากที่สุดในเวลานี้ เพื่อสร้างละคร ‘ดราม่า’ บีบน้ำตา เรียกคะแนนสงสาร พลิกจากบท ‘ผู้ร้าย’ ในสายตาสังคมไปสู่บทของ ‘เหยื่อ’ ผู้น่าสงสาร ดุจ ‘ลูกแกะ’ ที่กำลังถูกฝูง ‘หมาไฮยีนา’ ที่มีบรรดานักร้อง และทีมทนายหิวแสงทั้งหลายรุมขย้ำ
‘ผมทำอะไรผิดวะ... (ร้องไห้สะอึก สะอื้น) การทำธุรกิจเรามันก็ซื้อมาขายไป ถ้าไม่พร้อมแล้วจะซื้อไปทำไม พอมีปัญหาก็โยนใส่เรา แล้วก็บอกว่าหลอกลวง...( ร้องไห้สะอึก สะอื้น มากขึ้น) ผมไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว... ให้มันจบที่ผมดีกว่า’
นอกจาก ‘ดราม่า’ บีบน้ำตา แต่ไม่ลืมที่จะเน้นย้ำ ในข้อต่อสู้ทางกฎหมายหลักยืนยันว่าดิไอคอน กรุ๊ป ทำธุรกิจซื้อขายสินค้าตามปกติ คือหัวใจสำคัญที่ **‘พอล’**รู้ดีว่าในฐานะบอสใหญ่เขาต้องไม่หลุด ‘สคริปต์’ และต้องยืนยันชนิดหัวชนฝา นับตั้งแต่วันแรกที่ตั้งบริษัทมาจนถึงนาทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปเรือนจำ เขาจะระมัดระวังมากและไม่มีคลิปไหนที่จะพบว่าเขาเป็นคนออกมาพูดเชิญชวนคนมาลงทุน
ไม่ต้องสงสัยว่า ‘พอล’ ทราบดีว่า ดิไอคอน กรุ๊ปคือการทำธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายที่เจตนา **‘ขายฝัน’**หลอกลวงให้ ‘เหยื่อ’ เร่ง ‘เปิดบิล’ อำพรางว่าเป็นการซื้อสินค้า แลกกับ ‘ทริปท่องเที่ยวหรูๆ’ โดยไม่ได้มีเจตนาจะขายสินค้าจริง และวางกับดักให้ ‘เหยื่อ’ ที่พลัดหลงเข้ามาต้องดิ้นรนไปหา ‘เหยื่อ’ รายใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาเพื่อมีรายได้นับหมื่นล้านบาทเข้ากระเป๋าตัวเองและบรรดาบอส แต่กระบวนการทั้งหมดจะเกิดขึ้นในระดับบอสและแม่ข่ายรายใหญ่ ๆ ลงไป ที่ต้องถือว่าเป็นความอำมหิตอย่างร้ายกาจของ ‘พอล’ ที่หวังว่าจะใช้วิธีเอาตัวรอด โยนบาปและปล่อยให้บรรดาบอสๆ ทั้งบอสดาราและบอสแม่ข่าย กลายเป็น ‘แพะรับบาป’ ไปเต็ม ๆ โดยอ้างว่าตัวเองไม่ได้สนับสนุนการกระทำเหล่านั้น
ไม่เพียงจะโยนบาปเอาตัวรอดแล้ว **‘พอล’**ยังวางเกมไว้แล้วว่า ‘พอลจะไม่ปล่อยมือใคร’ หลังจากปล่อยให้มี ‘เหยื่อ’ ผู้เสียหายแห่แหนกันไปแจ้งความกันแล้ว เขาจึงเริ่มโต้กลับ โดยให้ทนายเดินหน้า ‘ลุย’ แจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มแม่ข่ายที่ ‘ตีเนียน’ ย้ายฟากมาเล่นบทเป็นผู้เสียหาย
‘พอล’ ต้องการพลิกบทมาเล่นเป็น ‘เหยื่อ’ ที่เสียหายจากการกระทำของกลุ่มแม่ข่ายเหล่านี้ ที่อาศัยชื่อของดิไอคอน กรุ๊ป ไปหลอกลวงให้ทางตัวแทนสั่งซื้อสินค้ากับทางดีลเลอร์จนขายไม่ได้ ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะช่วยยื้อคดีออกไปแล้ว ยังเท่ากับช่วย ‘เบรก’ ยอดของ เหยื่อผู้เสียหายที่กลัวถูกฟ้องกลับ
นอกจากจะไม่ปล่อยมือใครแล้วเขายังไม่ยอม ‘ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ โดยวางหมากไว้แล้วว่าจะเริ่มเล่นงานบรรดานักร้องและเทวดาทั้งหลายที่ข่มขู่และ ‘ตบทรัพย์’ เขามาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยแอบบันทึกคลิปเสียงเพื่อให้มี ‘ไพ่ในมือ’ ที่จะทยอยปล่อยออกมา ‘ดิสเครดิต’ และ ‘เบรก’ เกมของบรรดานักร้องบางคนที่จะหวังขย้ำเขาให้แหลกคามือ
นอกจากนี้ยังมีการปล่อยคลิปเสียงการข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองของ ‘เทวดา’ บางคนอย่าง ‘ประธาน ส.’ เพื่อส่งสัญญาณไปยังบรรดาเทวดาทั้งหลายที่เคยรับเงินรับทองไปจากเขาให้ช่วยวิ่งเต้นในทางลับเพื่อเบรกเกมด้านกฎหมายให้กับเขา หากไม่อยากถูก ‘แฉ’ ผ่านสื่อ
‘พอล’ รู้ดีว่า ในทางคดีความ โอกาสที่จะรอด ‘คุก’ ของเขามีน้อยมาก แต่ทั้งหมดเป็นเพียงละครอีกฉากหนึ่ง เพื่อ ‘ซื้อเวลา’ และลากคดีนี้ให้เป็น ‘เกมยาว’ เปิดโอกาสให้เขาโยกย้ายผ่องถ่ายทรัพย์สินส่วนใหญ่ออกไปให้ได้มากที่สุด โดยเหลือทรัพย์สินที่เจตนาจะปล่อยให้ถูกยึดเอาไว้เพียงจำนวนหนึ่ง โดยหวังว่าในบทสรุปเขาอาจจะต้องยอมติดคุกสัก 7-10 ปี และอาศัยช่องว่างตามตัวบทกฎหมาย ขอลดหย่อนผ่อนโทษ หลังจากที่พ้นคุกก็ออกมาใช้ชีวิตใช้ทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ต่อไป
บทพิสูจน์จากนี้ไปจึงไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้ทางกฎหมายว่า ‘พอล’ และบรรดาบอสทั้งหลายจะเอาตัวรอดจากคดีความได้หรือไม่แต่มันจะเป็นบทพิสูจน์และท้าทายประสิทธิภาพของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายของไทยอีกครั้งว่าจะสามารถ ‘ปิดเกม’ คดีมหากาพย์ธุรกิจขายตรงลวงโลกดิไอคอน กรุ๊ปได้เมื่อไร
หรือจะยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อว่า ‘ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความไม่ยุติธรรม’ ยังคงเป็นเรื่องปกติของสังคมไทย...