หลายๆ คนอาจจะได้ฟังเคล็ดลับ ผิวชุ่มชื้น ผิวใส จากอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมาก ว่า “ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้”
อย่างที่หลายๆ คนทราบดีว่า การดื่มน้ำ มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งในเรื่องของความสดชื่น ช่วยให้สมองตื่นตัว ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ช่วยในการย่อยอาหาร และทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ใช่อยู่ได้นานเกิน 2-3 วันถ้าไม่จิบน้ำเลย แต่ว่า... ดื่มน้ำเยอะ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจริงๆ เหรอ?
ตามที่แพทย์ผิวหนังระบุ การดื่มน้ำไม่ได้มีส่วนช่วยในเรื่องของการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว น้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายก็จริง แต่น้ำที่ถูกดื่มเข้ามาทางปาก ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับการดูแลความชุ่มชื้นกับผิวโดยตรง

Joshua Zeichner แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการในนิวยอร์กกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องเล่าที่กล่าวกันมานานมาก ว่าคนเราควรดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อรักษาผิวให้ชุ่มชื้น แต่ต้องทำความเข้าใจใหม่ก่อน น้ำที่เข้ามาในร่างกายผ่านทางช่องปาก จะเข้าสู่กระแสเลือดและกรองโดยไต ไม่มีข้อมูลอะไรที่แสดงว่าการดื่มน้ำมากหรือน้อยจะมีผลกับคุณภาพของผิวหนัง
แต่เรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ ผิวยังต้องการน้ำเช่นเดียวกับอวัยวะส่วนอื่นๆ เพราะผิวประกอบด้วยเซลล์ ซึ่งเซลล์นั้นประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ ตลอดวันเซลล์จะสูญเสียน้ำจากกิจกรรมต่างๆ ทำให้ผิวเป็นขุยและแห้ง และมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอย ตีนกาต่างๆ และปัญหาผิวอื่นๆ ด้วย
Charlotte Palermino ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังระบุว่า “การกักเก็บน้ำในผิว เป็นหน้าที่ของ Transepidermal Water Loss (TEWL) หรือ การสูญเสียน้ำทางผิวหนัง ถ้าคุณมีผิวแห้ง ภูมิคุ้มกันของคุณก็จะอ่อนแอและบกพร่อง นั่นหมายความว่า ร่างกายมีน้ำมันหรือไขมันในผิวไม่เพียงพอที่จะกักเก็บน้ำ และเมื่อถึงตอนนั้นน้ำจะไม่ไหลเวียนเพื่อเติมเต็มปิว และต้องใช้ครีมเป็นตัวช่วยเสริม”
Dr. Zeichner เห็นด้วยว่า “ควรแก้ปัญหาเฉพาะจุดมากกว่าแก้จากภายใน แทนที่จะดื่มน้ำ ลองหันมาใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แทน เพราเป็นวิธีการแก้ปัญหาผิวแห้งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า”
แต่เรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ ผิวยังต้องการน้ำเช่นเดียวกับอวัยวะส่วนอื่นๆ เพราะผิวประกอบด้วยเซลล์ ซึ่งเซลล์นั้นประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ ตลอดวันเซลล์จะสูญเสียน้ำจากกิจกรรมต่างๆ ทำให้ผิวเป็นขุยและแห้ง และมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอย ตีนกาต่างๆ และปัญหาผิวอื่นๆ ด้วย
Charlotte Palermino ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังระบุว่า “การกักเก็บน้ำในผิว เป็นหน้าที่ของ Transepidermal Water Loss (TEWL) หรือ การสูญเสียน้ำทางผิวหนัง ถ้าคุณมีผิวแห้ง ภูมิคุ้มกันของคุณก็จะอ่อนแอและบกพร่อง นั่นหมายความว่า ร่างกายมีน้ำมันหรือไขมันในผิวไม่เพียงพอที่จะกักเก็บน้ำ และเมื่อถึงตอนนั้นน้ำจะไม่ไหลเวียนเพื่อเติมเต็มปิว และต้องใช้ครีมเป็นตัวช่วยเสริม”
Dr. Zeichner เห็นด้วยว่า “ควรแก้ปัญหาเฉพาะจุดมากกว่าแก้จากภายใน แทนที่จะดื่มน้ำ ลองหันมาใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แทน เพราเป็นวิธีการแก้ปัญหาผิวแห้งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า”

แนวทางปฏิบัติเพื่อเติมความชุ่มชื้นแก่ผิว
การเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ส่วนผสมหลัก 3 อย่างที่ควรมองหาคือ กรดสเตียริก (กรดไขมัน) เซราไมด์ที่ทำให้ผิวนวล และโคเลสเตอรอล ศาสตราจารย์ด้านผิวหนังจากมหาวิทยาลัยไมอามีในฟลอริดา Leslie Baumann กล่าวว่า "การใช้งานเฉพาะจุด จะไม่ส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย” (จริงๆ แล้ว ถ้าใช้ยาลดคอเลสเตอรอลซึ่งอาจทำให้ผิวแห้ง ครีมที่อุดมด้วยส่วนผสมนี้อาจช่วยได้)
ในการล็อคความชื้นที่ดี แนะนำให้ทาครีมให้ความชุ่มชื้นในตอนที่ผิวเปียกเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังอาบน้ำ ถ้าผิวต้องการความช่วยเหลือในการเติมความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ก็สามารถใช้เซรั่มที่ตรงเป้าหมายมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ได้
ตามที่ระบุข้างต้น ร่างกายและผิวหนังต้องการน้ำเพื่อการทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งทาง Dr. Zeichner บอกว่า “การรักษาความชุ่มชื้นของผิวให้เพียงพอก็เป็นสิ่งสำคัญของร่างกาย เพราะภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงอาจจะมีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและไตได้”
การลดการสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ผิวแห้งเช่น พื้นที่ความชื้นต่ำ พื้นที่ที่มีลมแรง พื้นที่ที่มีอากาศร้อนแห้ง การอยู่บนที่สูง การโดนแสงแดดส่อง แอลกอฮอล์ หรือการอาบน้ำเป็นเวลานาน และการใช้สบู่ที่ทำให้ผิวแห้ง ยังช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติได้อีกด้วย Dr. Baumann เสริมว่า “อาหารก็มีบทบาทในการเสริมสร้างความสามารถของผิว ในการรักษาความชุ่มชื้นได้เช่นกัน อาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นที่พบในวอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ ปลาแซลมอน และน้ำมันมะกอกสามารถช่วยให้เซลล์ผิวมีความชุ่มชื้นได้”
การศึกษาโดยสถาบันโรคผิวหนังแห่งการทดลองในประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า ผู้หญิงที่ทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเมล็ดแฟลกซ์หรือน้ำมันโบราจ (2.2 กรัมต่อวัน) เป็นเวลา 12 สัปดาห์จะพบว่ามีความชื้นในผิวหนังเพิ่มขึ้นและความหยาบกร้านลดลง Dr. Baumann กล่าวว่าอาหารเพื่อสุขภาพที่มีกรดไขมันสามถึงห้ามื้อต่อสัปดาห์จะเพียงพอสำหรับคนทั่วไป
การเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ส่วนผสมหลัก 3 อย่างที่ควรมองหาคือ กรดสเตียริก (กรดไขมัน) เซราไมด์ที่ทำให้ผิวนวล และโคเลสเตอรอล ศาสตราจารย์ด้านผิวหนังจากมหาวิทยาลัยไมอามีในฟลอริดา Leslie Baumann กล่าวว่า "การใช้งานเฉพาะจุด จะไม่ส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย” (จริงๆ แล้ว ถ้าใช้ยาลดคอเลสเตอรอลซึ่งอาจทำให้ผิวแห้ง ครีมที่อุดมด้วยส่วนผสมนี้อาจช่วยได้)
ในการล็อคความชื้นที่ดี แนะนำให้ทาครีมให้ความชุ่มชื้นในตอนที่ผิวเปียกเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังอาบน้ำ ถ้าผิวต้องการความช่วยเหลือในการเติมความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ก็สามารถใช้เซรั่มที่ตรงเป้าหมายมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ได้
ตามที่ระบุข้างต้น ร่างกายและผิวหนังต้องการน้ำเพื่อการทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งทาง Dr. Zeichner บอกว่า “การรักษาความชุ่มชื้นของผิวให้เพียงพอก็เป็นสิ่งสำคัญของร่างกาย เพราะภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงอาจจะมีผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและไตได้”
การลดการสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ผิวแห้งเช่น พื้นที่ความชื้นต่ำ พื้นที่ที่มีลมแรง พื้นที่ที่มีอากาศร้อนแห้ง การอยู่บนที่สูง การโดนแสงแดดส่อง แอลกอฮอล์ หรือการอาบน้ำเป็นเวลานาน และการใช้สบู่ที่ทำให้ผิวแห้ง ยังช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติได้อีกด้วย Dr. Baumann เสริมว่า “อาหารก็มีบทบาทในการเสริมสร้างความสามารถของผิว ในการรักษาความชุ่มชื้นได้เช่นกัน อาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นที่พบในวอลนัท เมล็ดแฟลกซ์ ปลาแซลมอน และน้ำมันมะกอกสามารถช่วยให้เซลล์ผิวมีความชุ่มชื้นได้”
การศึกษาโดยสถาบันโรคผิวหนังแห่งการทดลองในประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า ผู้หญิงที่ทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเมล็ดแฟลกซ์หรือน้ำมันโบราจ (2.2 กรัมต่อวัน) เป็นเวลา 12 สัปดาห์จะพบว่ามีความชื้นในผิวหนังเพิ่มขึ้นและความหยาบกร้านลดลง Dr. Baumann กล่าวว่าอาหารเพื่อสุขภาพที่มีกรดไขมันสามถึงห้ามื้อต่อสัปดาห์จะเพียงพอสำหรับคนทั่วไป

กล่าวโดยสรุป ผิวแห้งเป็นผลมาจากปัจจัยทั้งทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการดื่มน้ำเพียงอย่างเดียว การให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวที่สมบูรณ์แบบนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน
Katie Rodan แพทย์ผิวหนังในพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโกและผู้เขียนร่วมของ Write Your Skin a Prescription for Change กล่าวว่า "มนุษย์ไม่เหมือนพืช ผิวของเราไม่ได้งอกขึ้นเมื่อเรากินน้ำ" โลชั่นขนาด 1 ใน 4 จะมีประโยชน์ต่อผิวมากกว่าการดื่มน้ำเป็นแกลลอนซะอีก
Katie Rodan แพทย์ผิวหนังในพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโกและผู้เขียนร่วมของ Write Your Skin a Prescription for Change กล่าวว่า "มนุษย์ไม่เหมือนพืช ผิวของเราไม่ได้งอกขึ้นเมื่อเรากินน้ำ" โลชั่นขนาด 1 ใน 4 จะมีประโยชน์ต่อผิวมากกว่าการดื่มน้ำเป็นแกลลอนซะอีก