‘โรคแพนิค’ (Panic Disorder) หรือ โรคตื่นตระหนก เป็นโรคที่เกิดมาจากระบบประสาทอัตโนมัติ (Automatic Nervous System) ทำงานผิดปกติเมื่อคุณรู้สึกวิตกกังวล โดยระบบประสาทนี้เป็นส่วนที่สามารถควบคุมการทำงานของร่างกาย ทำให้มีการหลั่งอะดรีนาลีนกระตุ้นการทำงานในระบบต่างๆ
จึงก่อให้เกิดอาการหลายอย่างร่วมกัน เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่ออกมาก ท้องไส้ปั่นป่วน วิงเวียนศรีษะ เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับคนในทุกเพศทุกวัย และเป็นสิ่งที่ผู้คนเริ่มตระหนักถึงกันเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน
โดยอาการแพนิค (Panic Attacks) มักเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติฉับพลันโดยไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุหรือมีเรื่องทำให้ตกใจ และสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคแพนิครู้สึกกลัวและละอาย เนื่องจากไม่สามารถควบคุมตัวเองหรือดำเนินชีวิตประจำวันได้ปกติ
วิธีรับมือกับอาการแพนิค
โดย ดร.แคลร์ วีกส์ (Claire Weekes) แพทย์ทางเวชปฏิบัติทั่วไปชาวออสเตรเลีย
1. เผชิญกับอาการแพนิค
อย่าพยายามหลีกเลี่ยงอาการแพนิคแต่ควรเรียนรู้ที่จะรับมือกับอาการแพนิคอย่างกล้าหาญ ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไรก็ตาม โดยไม่ต้องพยายามที่จะ ‘อดทน’ หรือ ‘ทำความคุ้นเคย’ กับอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งในที่สุดอาการแพนิคก็จะหมดความสำคัญและไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันของคุณอีกต่อไป
2. การยอมรับอาการแพนิคอย่างใจเย็น
ยอมรับว่าอาการแพนิคที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการการทำงานของระบบประสาท ทำให้มีการหลั่งอะดรีนาลีนกระตุ้นการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกาย ก่อให้เกิดผลลัพของอาการแพนิค เช่น ใจสั่น หัวใจเต้นแรง เวียนศรีษะ หายใจไม่ออก
3. การลอยตัวเหนืออาการแพนิค
ไม่ต่อสู้หรือพยายามควบคุมอาการหรือความกลัวด้วยโดยวิธีต่างๆ เพราะยิ่งพยายามทำอะไรก็จะยิ่งทำให้ฮอร์โมนอะดรีนาลีนหลั่งออกมามากขึ้น มีอาการมากขึ้นและเป็นนานขึ้น สิ่งที่ต้องทำก็คือการฝึกให้อยู่นิ่งๆ อย่างสบายๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยแม้กระทั่งการพยายามบังคับทำให้ตัวเองผ่อนคลาย ขณะที่จินตนาการว่าตัวเองกำลังลอยไปข้างหน้าโดยไม่มีแรงต้าน ราวกับว่ากำลังลอยอยู่บนก้อนเมฆหรือบนน้ำ คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและกล้ามเนื้อ ที่เกร็งอยู่ก็จะผ่อนคลาย
4. การปล่อยให้เวลาที่ผ่านไปช่วยเยียวยาให้อาการดีขึ้น
การฟื้นหายจากอาการแพนิคก็เช่นเดียวกับการรักษาโรคทั้งหลายที่ต้องอาศัยเวลา การไม่อดทนรอคอยและต้องการให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลายเกิดขึ้นอย่างทันที เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการรักษาฟื้นฟู คุณสามารถขจัดอุปสรรคที่สำคัญต่อการรักษาได้เพียงเข้าใจว่าความรู้สึกไวต่อสิ่งเร้าเป็นการะบวนการทำงานของสารเคมีในสมอง ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับสมดุลขของสารเคมีให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
จึงก่อให้เกิดอาการหลายอย่างร่วมกัน เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่ออกมาก ท้องไส้ปั่นป่วน วิงเวียนศรีษะ เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับคนในทุกเพศทุกวัย และเป็นสิ่งที่ผู้คนเริ่มตระหนักถึงกันเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน
โดยอาการแพนิค (Panic Attacks) มักเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติฉับพลันโดยไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุหรือมีเรื่องทำให้ตกใจ และสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคแพนิครู้สึกกลัวและละอาย เนื่องจากไม่สามารถควบคุมตัวเองหรือดำเนินชีวิตประจำวันได้ปกติ
อาการของโรคแพนิค
- หัวใจเต้นแรง หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนขาดอากาศ
- หวาดกลัวอย่างรุนแรงจนร่างกายขยับไม่ได้
- เวียนศีรษะหรือรู้สึกคลื่นไส้
- เหงื่อออกและมือเท้าสั่น
- รู้สึกหอบและเจ็บหรือแน่นหน้าอก
- วิตกกังวลหรือหวาดกลัวว่าจะตาย รวมทั้งรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้
วิธีรับมือกับอาการแพนิค
โดย ดร.แคลร์ วีกส์ (Claire Weekes) แพทย์ทางเวชปฏิบัติทั่วไปชาวออสเตรเลีย
1. เผชิญกับอาการแพนิค
อย่าพยายามหลีกเลี่ยงอาการแพนิคแต่ควรเรียนรู้ที่จะรับมือกับอาการแพนิคอย่างกล้าหาญ ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไรก็ตาม โดยไม่ต้องพยายามที่จะ ‘อดทน’ หรือ ‘ทำความคุ้นเคย’ กับอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งในที่สุดอาการแพนิคก็จะหมดความสำคัญและไม่มีผลต่อชีวิตประจำวันของคุณอีกต่อไป
2. การยอมรับอาการแพนิคอย่างใจเย็น
ยอมรับว่าอาการแพนิคที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการการทำงานของระบบประสาท ทำให้มีการหลั่งอะดรีนาลีนกระตุ้นการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกาย ก่อให้เกิดผลลัพของอาการแพนิค เช่น ใจสั่น หัวใจเต้นแรง เวียนศรีษะ หายใจไม่ออก
3. การลอยตัวเหนืออาการแพนิค
ไม่ต่อสู้หรือพยายามควบคุมอาการหรือความกลัวด้วยโดยวิธีต่างๆ เพราะยิ่งพยายามทำอะไรก็จะยิ่งทำให้ฮอร์โมนอะดรีนาลีนหลั่งออกมามากขึ้น มีอาการมากขึ้นและเป็นนานขึ้น สิ่งที่ต้องทำก็คือการฝึกให้อยู่นิ่งๆ อย่างสบายๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยแม้กระทั่งการพยายามบังคับทำให้ตัวเองผ่อนคลาย ขณะที่จินตนาการว่าตัวเองกำลังลอยไปข้างหน้าโดยไม่มีแรงต้าน ราวกับว่ากำลังลอยอยู่บนก้อนเมฆหรือบนน้ำ คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและกล้ามเนื้อ ที่เกร็งอยู่ก็จะผ่อนคลาย
4. การปล่อยให้เวลาที่ผ่านไปช่วยเยียวยาให้อาการดีขึ้น
การฟื้นหายจากอาการแพนิคก็เช่นเดียวกับการรักษาโรคทั้งหลายที่ต้องอาศัยเวลา การไม่อดทนรอคอยและต้องการให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลายเกิดขึ้นอย่างทันที เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการรักษาฟื้นฟู คุณสามารถขจัดอุปสรรคที่สำคัญต่อการรักษาได้เพียงเข้าใจว่าความรู้สึกไวต่อสิ่งเร้าเป็นการะบวนการทำงานของสารเคมีในสมอง ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับสมดุลขของสารเคมีให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
