“ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน” เชื่อว่าคนที่มีลูกคงไม่อยากได้ยินประโยคนี้ เมื่อมีลูก รักลูก ก็ย่อมอยากให้โตไปเป็นคนดี ไม่ไปทำตัวไม่น่ารักกับใคร แต่ยุคนี้จะเลี้ยงแบบ “รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” ก็คงไม่ไหว เพราะมีงานวิจัยออกมามากมายเรื่องผลเสียของการตีเด็ก
การตีส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เด็กก้าวร้าวขึ้น ส่งผลเสียต่อพัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์ และอาจทำให้เด็กมีมุมมองต่อพ่อแม่เปลี่ยนไป นอกจากนี้คนที่ตีเองก็มักรู้สึกผิด และสงสารหรือกลัวว่าลูกจะมองตัวเองโหดร้าย
การตีส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เด็กก้าวร้าวขึ้น ส่งผลเสียต่อพัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์ และอาจทำให้เด็กมีมุมมองต่อพ่อแม่เปลี่ยนไป นอกจากนี้คนที่ตีเองก็มักรู้สึกผิด และสงสารหรือกลัวว่าลูกจะมองตัวเองโหดร้าย
‘เด็กดื้อ’ คือ ‘เด็กปกติ’
ก่อนอื่น ‘ทุกคน’ ควรทำความเข้าใจก่อนว่าการที่เด็กดื้อถือเป็นพัฒนาการตามวัย หลายครั้งเราอาจต้องปล่อยให้เด็กได้ร้องไห้ ค่อยๆ ทำความรู้จักกับอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามาทักทาย เรียนรู้การใช้เหตุผลและความคิด กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลา ซึ่งหากเรารับมือกับเด็กได้อย่างเหมาะสมเด็กก็จะโตมาอย่างมั่นคง และรู้สึกดีกับตัวเองอาละวาด––ร้องไห้––โวยวาย––เอาแต่ใจ
อารมณ์และพฤติกรรมเหล่านี้ไม่มากก็น้อย เป็นสิ่งที่ต้องเจอเมื่อต้องเลี้ยงเด็ก เพราะเด็กก็เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ที่มีความคับข้องใจ พวกเขาแค่ยังไม่รู้จักวิธีบรรเทาหรือระบายมากไปกว่าร้องไห้โวยวาย เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะรับมือ สั่งสอน โอบรับการเติบโตของพวกเขา มาดูกันว่าเราจะทำอย่างไรกันได้บ้างโดยไม่ต้องตี
อธิบายด้วยเหตุผล และให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
เมื่อลูกทำตัวไม่เหมาะสม เราควรอธิบายให้เขาฟังด้วยเหตุผล ใจเย็น แต่เด็ดขาด เพราะหากเราไม่จริงจังอาจทำให้ลูกสับสนว่าควรทำสิ่งไหนกันแน่ ในบางครั้งเราอาจให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง เช่น หากลูกไม่ยอมกินข้าว เราต้องอธิบายให้ฟังว่าถ้าไม่กินตอนนี้ก็จะหิวนะ และหากลูกยังไม่ยอมกินก็ลองให้เขาหิว เพื่อให้รู้ว่าครั้งหน้าถึงเวลากินก็ควรจะกิน ทั้งนี้กับบางเรื่องเราก็ควรมีกฎชัดเจน เช่น การแปรงฟันที่เราคงจะปล่อยให้ลูกลองฟันผุไม่ได้เทคนิคเพิกเฉย
การเพิกเฉยทำได้เมื่อลูกอายุ 1 ขวบขึ้นไป (เด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบแทบไม่มีเหตุผลที่ต้องถูกทำโทษเลย) วิธีนี้ไม่ใช่การทอดทิ้งลูก แต่เป็นการให้ลูกได้เรียนรู้การควบคุมอารมณ์ตัวเอง โดยเราจะไม่โอ๋จนทำให้ลูกไม่เห็นความชัดเจนและความเป็นผู้นำของเราพญ.เสาวภา พรจินดารักษ์ แนะนำขั้นตอนการเพิกเฉย ดังนี้:
- สงบสติอารมณ์ให้เย็นลง หากเราทำเทคนิคนี้ตอนมีอารมณ์อาจกลายเป็นการทอดทิ้งลูกได้
- สบตาลูก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่จริงจังว่าจะรอจนลูกเงียบก่อนถึงจะคุยกัน
- เพิกเฉยลูก ไม่พูด แสดงท่าที หรือส่งสายตา ไม่แม้แต่พูดซ้ำให้ลูกเงียบ โอ๋กอด หรืออุ้ม ให้หันไปทำอย่างอื่นแทนโดยไม่แสดงท่าทีทอดทิ้ง เช่น การทำงานบ้านใกล้ตัว หากลูกทำร้ายตัวเอง คนอื่น หรือทำลายข้าวของ ให้หยุดเพิกเฉยชั่วคราวแล้วมองหน้าลูกพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่าอย่าทำเช่นนั้น แล้วกลับไปเพิกเฉยต่อจนกว่าลูกจะหยุด
- เมื่อลูกเงียบแล้วให้กลับไปหาลูก ขั้นตอนนี้จำเป็นมากเพราะเราต้องเน้นย้ำว่าลูกจะได้รับความสนใจเมื่อมีพฤติกรรมที่ดี และจะถูกเพิกเฉยเมื่อเอาแต่ใจ
- ชมลูกแบบบรรยายพฤติกรรม เช่น “ลูกเงียบแล้ว เก่งมากค่ะ”
- พูดคุยกับลูก ถามว่า “เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น” เพื่อให้ลูกได้ทบทวนเรื่องราวและทำความเข้าใจตัวเองแทนที่จะรอคำสอนอย่างเดียว หากลูกยังเล็ก เราต้องค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องราวอย่างสั้นและกระชับให้ลูกเข้าใจ
- ตบบวก (ให้รางวัล) โดยหากิจกรรมที่ลูกชอบทำเพื่อปลอบ โดยเฉพาะกับเด็กเล็กเพื่อให้เชื่อมโยงได้ว่าเมื่องอแงแล้วเงียบจะได้รางวัล เช่น เล่านิทานให้ฟัง เล่นด้วยกัน แต่ไม่แนะนำให้เป็นสิ่งของ เพราะเด็กอาจเชื่อมโยงกับการได้สิ่งของแทน

Time Out: ขอเวลานอกให้ลูก (และตัวคุณเอง) ได้สงบสติอารมณ์
เมื่อลูกไม่หยุดงอแง เราต้องตักเตือนก่อนว่าหากยังงอแงจะต้องไปสงบสติอารมณ์ที่มุมห้อง นั่งเก้าอี้เด็กซน ฯลฯ ตามหลักพื้นฐานการให้ลูกแยกไปสงบสติอารมณ์ควรใช้เวลา 1 นาที/1 ขวบ และเพิ่มขึ้นตามอายุของเด็ก ทั้งนี้ก็ควรเป็นระยะเวลาที่สมเหตุสมผล เช่น เมื่อลูกอารมณ์สงบลงแล้วก็สามารถกลับมาได้สวมบทบาท
หากลูกสามารถสื่อสารและเริ่มคิดเองได้แล้ว เราอาจลองตั้งคำถามที่กระตุ้นให้ลูกได้ทบทวนตัวเองและเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น “ถ้าให้พูดได้อีกรอบ คิดว่าพูดแบบไหนดี” “ถ้าครั้งหน้าเกิดแบบนี้อีก คิดว่าทำยังไงดี”งดให้สิทธิพิเศษ/ของเล่น
เช่นเคย เราควรตักเตือนก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากลูกยังไม่เลิกงอแง สิ่งที่เราจะงดควรสมเหตุสมผลกับสิ่งที่ลูกทำ หากลูกไม่ยอมกินข้าววันนี้แล้วงดดูการ์ตูนทั้งอาทิตย์ก็ดูเป็นการกำหนดโทษที่มากเกินไป ทั้งนี้เราต้องรักษาคำพูดและไม่ใจอ่อน เพราะหากลูกรู้ว่าเราไม่จริงจังพฤติกรรมก็จะไม่ดีขึ้นให้รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ
การให้ลูกรับผิดชอบในสิ่งที่ทำถือเป็นพื้นฐานที่จะทำให้ลูกเรียนรู้ผลกระทบจากการกระทำตัวเอง เช่น เมื่อลูกขว้างปาของกระจัดกระจาย ลูกก็ต้องเป็นคนเก็บ หรือเมื่อทำพฤติกรรมไม่น่ารักใส่ใครก็ต้องไปขอโทษคนนั้น
เปลี่ยนจาก ‘ลงโทษ’ เป็น ‘สอน’
ปัญหาหนึ่งของการตีคือเป็นการลงโทษเด็ก แต่ไม่ได้ทำให้เด็กเรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วควรทำอย่างไร ฉะนั้นเวลาลูกทำผิด เราอาจสอนแทนว่าทางที่ดีคือแบบไหน ให้เขาเข้าใจคนอื่นมากขึ้นแทนที่จะโทษตัวเอง เช่น หากลูกไปตีคนอื่น แทนที่จะบอกว่าลูกนิสัยไม่ดี ก็ให้สอนลูกด้วยเหตุผลว่าการตีจะทำให้คนอื่นเจ็บชมเชยหรือให้รางวัลเมื่อทำดี
นอกจากการลงโทษแล้ว การให้รางวัลก็สำคัญมาก เราไม่ควรเอาแต่เพ่งโทษลูก แต่ควรใส่ใจกับสิ่งดีๆ ที่ลูกทำและไม่ลืมที่จะกล่าวชม หรือแม้แต่เวลาที่ลูกทำตัวไม่น่ารัก แทนที่จะเน้นย้ำพฤติกรรมไม่ดีที่ควรหลีกเลี่ยง เราก็สามารถตั้งรางวัลเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกปรับปรุงตัวนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่างที่ทราบกันว่าการเลี้ยงลูกไม่มีสูตรตายตัว ลูกมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้มากมายระหว่างการเติบโต ขณะที่เราก็เรียนรู้หลายๆ อย่างจากการเลี้ยงลูกเช่นกัน
หวังว่าจะไม่มีใครมาพูดกับคุณว่า “ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน” และขอให้การเติบโตทั้งของลูกและคุณเต็มไปด้วยเหตุผลและความรัก