ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รับรองให้การแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย ต่อจากไต้หวัน และเนปาล
“ความเท่าเทียม” ไม่ใช่แค่เรื่องของสิทธิมนุษยชนที่สำคัญในระดับประเทศ แต่ยังเป็นเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs: Sustainable Development Goals) ที่องค์การสหประชาชาติ (UN) วางกรอบไว้ผ่าน 17 เป้าหมายหลัก ซึ่งไม่ได้โฟกัสแค่เรื่องของโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังมุ่งส่งเสริมความเสมอภาคในสังคม ผ่านการเชื่อมโยงกันใน 5 มิติ
เพียงไม่กี่เดือนหลังจากการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือนกันยายน 2567 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการยอมรับความหลากหลายทางเพศ ที่ไม่เพียงแต่ยกระดับสิทธิของ LGBTQIAN+ แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ด้วยการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเที่ยวและจดทะเบียนสมรสในประเทศไทย

การเปลี่ยนผ่านจากสังคม “ทนรับ” สู่สังคมแห่งการ “ยอมรับ”
ข้อมูลจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme in Thailand – UNDP Thailand) ระบุว่า นิยามของกฎหมายสมรสเท่าเทียม (Marriage Equality Law) ที่เป็นมากกว่าการสมรสเพศเดียวกัน (Same-Sex Marriage)
โดยกฎหมายสมรสเท่าเทียม ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากสังคม “ทนรับ” สู่สังคม “ยอมรับ” ใน 3 แนวทางประกอบด้วย
- แนวทางแรกคือ กฎหมายสมรสเท่าเทียมกับจุดเร่งของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือกฎหมายคำนำหน้านาม กฎหมายการขจัดการเลือกปฏิบัติ และการทำให้อาชีพพนักงานบริการไม่ผิดกฎหมาย
- แนวทางที่สองคือ การเก็บข้อมูลจำแนกเพศ (Sex-Disaggregated Data) และข้อมูลจำแนกเพศอัตลักษณ์ (Gender-Disaggregated Data) เพื่อนโยบายที่สะท้อนความต้องการของคนที่หลากหลาย
- แนวทางที่สามคือ การสร้างเศรษฐกิจที่ครอบคลุมผ่านนโยบายองค์กร บริษัทที่มีการจ้างงานและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ครอบคลุมเพศหลากหลาย ที่จะนำไปสู่การพลิกโฉมทางสังคม

ความเท่าเทียม กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
สมรสเท่าเทียม คือส่วนหนึ่งของสิทธิเท่าเทียมกันในสายตากฎหมายของคู่รักที่ไม่ได้จำกัดเพศสภาพ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของมนุษย์ โดยการยอมรับสมรสเท่าเทียมในหลายประเทศทั่วโลกไม่ได้เพียงแค่ช่วยให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถสร้างครอบครัวและได้รับสิทธิทางกฎหมายที่เท่าเทียมกับคู่รักต่างเพศ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและสิทธิที่ไม่มีข้อจำกัดเพราะรสนิยมทางเพศ
การยอมรับสมรสเท่าเทียม สัมพันธ์โดยตรงกับหลายเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและการสร้างสังคมที่มีความยุติธรรม

**เป้าหมายที่ 5: ความเท่าเทียมทางเพศ (Achieve Gender Equality)** การประกาศรับรองสมรสเท่าเทียม ช่วยผลักดันการบรรลุเป้าหมายที่ 5 ของ SDGs ซึ่งมุ่งเน้นในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ เพื่อขจัดความรุนแรง การเลือกปฏิบัติ พร้อมส่งเสริมการยอมรับและการเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์
เป้าหมายที่ 10: ลดความไม่เท่าเทียม (Reduced Inequality) สมรสเท่าเทียมช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เศรษฐกิจ การให้เข้าถึงสิทธิและประโยชน์ทางกฎหมายที่เท่าเทียมกับคู่รักต่างเพศ เช่น สิทธิในการสืบทอดมรดก การรับบุตรบุญธรรม สิทธิทางภาษี ดังนั้น สิทธิและหน้าที่เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมใช้บังคับ จึงเป็นการขจัดอุปสรรคและการเลือกปฏิบัติที่เกิดขึ้นในสังคม
เป้าหมายที่ 16: สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง (Peace Justice and Strong Institution) การรับรองกฎหมายสมรสเท่าเทียมสะท้อนถึงการสร้างสังคมที่มีความยุติธรรมและเคารพในสิทธิเสมอภาค อันเป็นการเสริมสร้างสถาบันทางสังคมที่ยั่งยืน
ด้วยการสนับสนุนเป้าหมาย SDGs ที่เน้นความเท่าเทียมทางเพศ กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยจึงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล แต่จะช่วยยกระดับมาตรฐานทางสังคมและเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทย พร้อมสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับโลกด้วย

เปิดรายชื่อ 40 ประเทศที่เพศเดียวกันแต่งงานได้ถูกต้องตามกฎหมาย
- เนเธอร์แลนด์ (ปี 2001)
- เบลเยียม (ปี 2003)
- สเปน (ปี 2005)
- แคนาดา (ปี 2005)
- แอฟริกาใต้ (ปี 2006)
- สวีเดน (ปี 2009)
- นอร์เวย์ (ปี 2009)
- อาร์เจนตินา (ปี 2010)
- โปรตุเกส (ปี 2010)
- ไอซ์แลนด์ (ปี 2010)
- เดนมาร์ก (ปี 2012)
- บราซิล (ปี 2013)
- ฝรั่งเศส (ปี 2013)
- นิวซีแลนด์ (ปี 2013)
- อุรุกวัย (ปี 2013)
- สหราชอาณาจักร (ปี 2014)
- สหรัฐอเมริกา (ปี 2015)
- ไอร์แลนด์ (ปี 2015)
- ลักเซมเบิร์ก (ปี 2015)
- โคลอมเบีย (ปี 2016)
- กรีนแลนด์ (ปี 2016)
- เยอรมนี (ปี 2017)
- ออสเตรเลีย (ปี 2017)
- ฟินแลนด์ (ปี 2017)
- มอลตา (ปี 2017)
- ไต้หวัน (ปี 2019)
- เอกวาดอร์ (ปี 2019)
- ออสเตรีย (ปี 2019)
- คอสตาริกา (ปี 2020)
- เม็กซิโก (ปี 2022)
- ชิลี (ปี 2022)
- คิวบา (ปี 2022)
- สวิตเซอร์แลนด์ (ปี 2022)
- สโลวีเนีย (ปี 2022)
- เนปาล (ปี 2023)
- อันดอร์รา (ปี 2023)
- กรีซ (ปี 2024)
- เอสโตเนีย (ปี 2024)
- ลิกเตนสไตน์ (ปี 2025)
- ประเทศไทย (ปี 2025)
ประเทศไทยพร้อมทุบสถิติโลก รับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
หลังจากที่ประเทศไทยผ่านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 โดยยินยอมให้บุคคลทุกเพศสามารถแต่งงานกันได้ถูกต้องตามกฎหมาย และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2025

ในวันสำคัญนี้คู่รัก LGBTQIAN+ กว่า 1,000 คู่ (ยอดที่คาดการณ์) จะจดทะเบียนสมรสพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเจ้าของสถิติโลกใหม่ในการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมมากที่สุดในโลก แซงหน้าสถิติเดิมของเมืองริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ที่ทำไว้ 160 คู่ ในปี 2014 และล่าสุด 165 คู่ ในปี 2022
การสร้างสถิติครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการก้าวหน้าในด้านสิทธิของ LGBTQIAN+ แต่ยังเป็นการยืนยันถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขทางเพศและเพศสภาพ ซึ่งจะช่วยทลายข้อจำกัดทางสังคมที่เคยขวางกั้นการแสดงออกของความรักในรูปแบบต่างๆ