60+ Earth Hour 2025 ถ้าปิดไฟปีละ 1 ชั่วโมงน้อยไป แล้วปิดนานเท่าไหร่คือคำตอบ

23 มี.ค. 2568 - 03:34

  • Earth Hour 2025 กว่า 7,000 เมือง 190 ประเทศทั่วโลกร่วมแสดงพลังทำเพื่อโลก

  • กทม.ปลื้ม ปิดไฟ 1 ชั่วโมงลดใช้ไฟ 134 เมกะวัตต์ ขอบคุณทุกภาคส่วนร่วมใจ “ปิดไฟให้โลกพัก”

  • จริงหรือไม่? ที่ปิดไฟปีละ 1 ชั่วโมงน้อยไป แล้วเราต้องปิดนานเท่าไหร่โลกถึงได้พัก

ecoeyes-earth-hour-2025-turning-off-the-lights-for-1-hour-is-not-enough-SPACEBAR-Hero.jpg

หลายคนคงคุ้นเคยกับกิจกรรม 60+Earth Hour ที่มีขึ้นในทุกปี (ในวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมีนาคม) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน โดยผู้คนจากทั่วโลกจะร่วมกันปิดไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งกรุงเทพมหานคร โดยสำนักสิ่งแวดล้อม และสำนักงานเขต ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน รณรงค์และเชิญชวนผู้ประกอบการ ร้านค้า ประชาชน ลดการใช้พลังงานและปิดไฟที่ไม่จำเป็น เช่น ไฟประดับ ไฟอาคาร ป้ายโฆษณา รวมถึงการถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน ลดการใช้เครื่องปรับอากาศในอาคารบ้านเรือน เป็นเวลา 1 ชั่วโมง พร้อมกับเมืองต่างๆ กว่า 7,000 เมือง 190 ประเทศทั่วโลก ในคืนวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลา 20.30-21.30 น.

ecoeyes-earth-hour-2025-turning-off-the-lights-for-1-hour-is-not-enough-SPACEBAR-Photo03.jpg

จุดเริ่มต้นของ Earth Hour

โครงการ Earth Hour เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 2007 ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยมีประชาชนกว่า 2.2 ล้านคนร่วมกันปิดไฟเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนักถึงปัญหาโลกร้อนและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่กิจกรรมนี้จะขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลกในปีต่อๆ มา สำหรับกรุงเทพมหานครได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2008

โดยปีนี้ 5 แลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ ได้แก่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) พระบรมมหาราชวัง วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เสาชิงช้า สะพานพระราม 8 และ ภูเขาทอง (วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร) ได้ร่วมปิดไฟเชิงสัญลักษณ์

สถิติ 60+ Earth Hour 2025 กรุงเทพฯ

ผลการคำนวณปริมาณการใช้ไฟฟ้าช่วงเวลาดังกล่าวในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยการไฟฟ้านครหลวง พบว่า ใน 1 ชั่วโมง สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ 134 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานครในวันเสาร์ก่อนหน้า (15 มีนาคม 2568 ในช่วงเวลาเดียวกัน) 

  • สามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ 621,746 บาท
  • ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 58.6 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • เทียบได้กับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ 5,860 ต้น ใน 1 ปี (ไม้ยืนต้น 1 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 10 กิโลกรัมต่อปี)
  • เทียบกับเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ จำนวน 485 เที่ยวบิน
  • เทียบกับการใช้รถยนต์ดีเซลเป็นระยะทาง 351,600 กิโลเมตร
  • เทียบกับการปิดไฟครัวเรือน 263,700 ครัวเรือน

สถิติย้อนหลัง 3 ปี 60+ Earth Hour กรุงเทพฯ

ผลจากการจัดกิจกรรมปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน (60+ Earth Hour) ย้อนหลัง 3 ปีล่าสุด เฉพาะกรุงเทพฯ จังหวัดเดียวสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ รวม 138.65 เมกะวัตต์ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 36.2 ตัน 

  • ปี 2567 ลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ 24.65 เมกะวัตต์ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 11 ตัน 
  • ปี 2566 ลดปริมาณไฟฟ้าได้ 36 เมกะวัตต์ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 5.2 ตัน
  • ปี 2565 ลดปริมาณไฟฟ้าได้ 78 เมกะวัตต์ และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 20 ตัน
ecoeyes-earth-hour-2025-turning-off-the-lights-for-1-hour-is-not-enough-SPACEBAR-Photo02.jpg

ปิดไฟแค่ปีละ 1 ชั่วโมง โลกคงร้อนขึ้นกว่าเดิม

แม้ตัวเลขอาจดูตัวมากพอตัว แต่ถ้าคิดว่าการปิดไฟเพียงแค่ 1 ชั่วโมงต่อปีจะช่วยลดโลกร้อนได้จริงๆ แล้ว อาจต้องคิดใหม่ เพราะมันน้อยไป (ความจริงคือน้อยมากๆๆๆๆ) เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก และโลกยังคงปล่อย CO2 จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะจากการเผาไหม้ฟอสซิล เช่น การใช้ถ่านหินและน้ำมัน

แล้วเราควรปิดไฟนานเท่าไหร่ถึงจะช่วยโลกได้จริง?

ถ้ามี Earth Hour เดือนละครั้ง...พอไหม?

ถ้าเราเพิ่มจำนวนรอบการทำ Earth Hour เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าในลักษณะเดียวกันทุกเดือน (อ้างอิงผลเทียบเท่ากับ Earth Hour ของกรุงเทพฯ ปีล่าสุด) กรุงเทพฯ จะสามารถ

  • ลดค่าไฟฟ้าลงได้ราว 7,461,000 บาทต่อปี
  • ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 703.2 ตันฯ ต่อปี
  • เทียบกับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ 70,320 ต้นต่อปี
  • เทียบกับเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 5,820 เที่ยวบินต่อปี
  • เทียบกับการใช้รถยนต์ดีเซล 4,219,200 กิโลเมตรต่อปี
  • เทียบกับการปิดไฟใน 3,164,400 ครัวเรือนต่อปี

แล้วถ้าทำทุกวัน วันละ 8 ชั่วโมงล่ะ?

เราลองคิดแบบสนุกๆ ว่าถ้าเราปิดไฟแบบที่ทำตอน Earth Hour แต่เพิ่มเป็นทำทุกวัน วันละ 8 ชั่วโมง (Hardcore มาก) เราจะสามารถ

  • ลดค่าไฟฟ้าลงได้ 1,814,023,320 บาทต่อปี
  • ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 171,012 ตันฯ ต่อปี
  • เทียบกับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ 17,106,400 ต้นต่อปี
  • เทียบกับเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 1,416,200 เที่ยวบินต่อปี
  • เทียบกับการใช้รถยนต์ดีเซล 1,027,672,000 กิโลเมตรต่อปี
  • เทียบกับการปิดไฟใน 770,004,000 ครัวเรือนต่อปี

หมายความว่าการทำแบบนี้ทุกวันสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการประหยัดค่าใช้จ่าย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มาก (แต่ทำยากแหละ)

ecoeyes-earth-hour-2025-turning-off-the-lights-for-1-hour-is-not-enough-SPACEBAR-Photo01.jpg

60+ Earth Hour “ปิดไฟให้โลกพัก” กุศโลบายสุดแยบคาย

เรารู้แหละว่า 60+ Earth Hour ต่อปีมันไม่ได้ผล (คนต้นคิดก็รู้) แต่ทั้งหมดทั้งมวลเค้าแค่อยากสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้คนทั่วโลก ทำให้เรามาคิดทบทวนถึงปัญหาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มาเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์พลังงานเพื่อโลกที่เราอยู่ใบนี้ กระตุ้นให้มีการดำเนินการจริงจัง แม้ว่าผลกระทบจากการปิดไฟเพียง 1 ชั่วโมงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกร้อนได้ทันที แต่ก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยและดำเนินการอย่างจริงจังในการลดการใช้พลังงานและมุ่งสู่พลังงานสะอาดที่ยั่งยืนมากขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเราจะรณรงค์ให้ปิดไฟนานแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับเราเปลี่ยนมุมมองให้สร้างสรรค์และตั้งใจทำให้มันยั่งยืน ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน เช่น ปิดไฟเมื่อไม่ใช้ ถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้งาน เลือกหลอดไฟ LED หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน และหันมาใช้พลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานฟอสซิลที่เป็นสาเหตุหลักของการปล่อย CO2 ซึ่งจะส่งผลดีต่อโลกในระยะยาวมากกว่าการปิดไฟเพียงชั่วคราวเพียง 1 ชั่วโมง(ต่อปี)

มาสร้างการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน พลังของความยั่งยืนอยู่ในมือของเรา และโลกอาจจะ “ร้อนขึ้น” หรือ “เย็นลง“ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะทำอะไรในวันนี้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์