ในโลกที่เต็มไปด้วยพิบัติภัย หายนะจากโลกรวน และชนวนสงคราม พร้อมเกิดวิกฤตที่คาดไม่ถึงได้ทุกเมื่อ จึงมีสถานที่หนึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บรักษาอนาคตของสิ่งมีชีวิตให้ดำรงอยู่ นั่นคือ Svalbard Global Seed Vault : ธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชโลกสวาลบาร์ค หรือที่เรารู้จักกันในนาม “ห้องนิรภัยวันสิ้นโลก"
จะว่าไปธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชโลกสวาลบาร์ค ก็คล้ายกับภารกิจของ “เรือโนอาห์” ที่เคยขนสรรพสัตว์ขึ้นเรือเพื่อให้รอดพ้นจาก “น้ำท่วมโลก” และดำรงไว้ซึ่งสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ในอดีตกาล

ทำไมต้องเป็นตรงนี้?
ที่ตั้งของ Svalbard Global Seed Vault คือหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญเพราะตั้งอยู่เหนือวงกลมอาร์กติกในนอร์เวย์ บนเกาะที่รายล้อมด้วยทะเลในมหาสมุทรอาร์กติก มีสภาพอากาศหนาวเย็นอุณหภูมิต่ำเกือบตลอดทั้งปี เหมาะสมที่สุดสำหรับการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ และที่สำคัญคือมีชั้นดินเยือกแข็ง (Permafrost) ที่ช่วยคงอุณหภูมิของเมล็ดพันธุ์ให้อยู่ในระดับที่เย็นสุดๆ แม้ไฟฟ้าจะดับไป แต่เมล็ดพันธุ์ก็ยังสามารถอยู่รอดได้นานนับร้อยปี จากการถูกเก็บนรักษาโดยการปิดผนึกเพื่อป้องกันอากาศและความชื้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
ที่สำคัญคือห้องนิรภัยแห่งนี้ยังตั้งอยู่ที่ความสูงประมาณ 130 เมตร (426 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล อุโมงค์ในภายในของ Svalbard Global Seed Vault มีความยาว 150 เมตร และปากทางเข้าถูกเจาะลึกเข้าไปในภูเขาหินที่มีความลึกประมาณ 18 เมตร (59 ฟุต) ความกว้างของแต่ละห้องจัดเก็บอยู่ที่ประมาณ 10 เมตร และความสูง 6 เมตร อุโมงค์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นให้ทนทานต่อกาลเวลา ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภัยที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยคำนึงถึงทุกปัจจัย

เมล็ดพันธุ์เล็กๆ กุญแจสำคัญในการขจัดความหิวโหยและความมั่นคงทางอาหาร
ธนาคารเมล็ดพันธุ์โลกแห่งนี้ไม่ได้เพียงแค่เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ แต่มันยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาความหิวโหย (Zero Hunger) ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 2 คือ “การยุติความหิวโหย บรรเทาปัญหาการขาดโภชนาการ ส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน” และยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารทั่วโลกเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัยได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ เมล็ดพันธุ์จาก Svalbard Global Seed Vault จะเป็นกุญแจที่ทำให้เราเดินหน้าต่อได้ (แม้ในวันที่เราไม่มีข้าวเหนียวมะม่วงหรือข้าวหมูแดงให้กิน)
เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไม่เพียงแค่ของกินเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของมนุษย์ทั่วโลก เช่น ข้าวจากไทย ข้าวโพดจากอเมริกา หรือข้าวฟ่างจากซูดาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะสามารถนำกลับมาใช้ได้หากโลกต้องการเริ่มต้นใหม่หลังจากวิกฤต

การจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ใน Svalbard Global Seed Vault เมล็ดพันธุ์จะถูกเก็บที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ในบรรจุภัณฑ์ฟอยล์สี่ชั้นที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ และถูกบรรจุในกล่องที่ปิดสนิท ก่อนจะถูกจัดเก็บบนชั้นวางในห้องจัดเก็บ อุณหภูมิและความชื้นต่ำช่วยให้เมล็ดพันธุ์สามารถคงอยู่ได้นานหลายทศวรรษ หรือหลายพันปี หากเกิดไฟฟ้าดับ ชั้นดินเยือกแข็งจะช่วยปกป้องเมล็ดพันธุ์ได้ เจ้าของเมล็ดพันธุ์จะเป็นผู้ฝาก และเฉพาะผู้ฝากเท่านั้นที่สามารถเบิกเมล็ดพันธุ์ได้

อ่านมาถึงตรงนี้คงเข้าใจกันแล้วว่า ห้องนิรภัยวันสิ้นโลก หรือ Svalbard Global Seed Vault ไม่ใช่แค่สถานที่เก็บเมล็ดพันธุ์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการรับผิดชอบต่ออนาคตและความยั่งยืนของมนุษยชาติ ความสำคัญของการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ไม่ได้จำกัดแค่การป้องกันภัยธรรมชาติหรือสงคราม แต่มันเป็นการสร้างความหวังให้โลกในอนาคตที่อาจเผชิญกับความท้าทาย
เมล็ดพันธุ์ที่จัดเก็บในวันนี้อาจเป็นอนาคตของโลก เมื่อความหิวโหยและภัยพิบัติกลายเป็นปัญหาหลัก เมล็ดพันธุ์ใน Svalbard Global Seed Vault จะเป็นกุญแจที่นำพามนุษย์กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็ทำให้เรามีข้าวกินในโลกที่อาจจะไม่มีอะไรเหลือ

ธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชโลกเก็บอะไรบ้าง และเก็บอย่างไร?
Svalbard Global Seed Vault เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชที่สำคัญต่อการผลิตอาหารและเกษตรกรรม เช่น ข้าว ข้าวโพด มันฝรั่ง ถั่ว รวมถึงพืชที่มีความสำคัญด้านการวิจัยและการพัฒนาพันธุ์พืชที่ทนทานต่อโรคและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันมีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืช 4.5 ล้านตัวอย่างพันธุ์ ที่ฝากเก็บแล้วจำนวน 1,331,458 ตัวอย่างพันธุ์ พืช 6,297 สปีชีส์
ที่สำคัญคือตามกฎหมายของนอร์เวย์ เมล็ดพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรมจะ "ไม่ถูกเก็บ" ใน Svalbard Global Seed Vault เนื่องจากถูกห้ามตามกฎหมายที่ใช้สำหรับการวิจัย โดยระยะเวลาในการแช่แข็งเมล็ดพันธุ์ขึ้นอยู่กับชนิดของพืช เช่น ข้าวฟ่างสามารถอยู่รอดได้หลายพันปี ขณะที่พืชบางชนิดอาจอยู่ได้เพียงไม่กี่ทศวรรษ หากเมล็ดใกล้หมดอายุ นักวิจัยจะเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเมล็ดใหม่มาเก็บต่อไป
สำหรับพืชที่ไม่สามารถเก็บในรูปแบบเมล็ดพันธุ์ เช่น มันฝรั่ง มันสำปะหลัง กล้วย ที่ไม่สามารถเก็บในรูปแบบเมล็ดได้ จะต้องใช้วิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหรือการเก็บรักษาด้วยการแช่เยือกแข็งในไนโตรเจนเหลว

การจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ใน Svalbard Global Seed Vault เมล็ดพันธุ์จะถูกเก็บที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ในบรรจุภัณฑ์ฟอยล์สี่ชั้นที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ และถูกบรรจุในกล่องที่ปิดสนิท ก่อนจะถูกจัดเก็บบนชั้นวางในห้องจัดเก็บ อุณหภูมิและความชื้นต่ำช่วยให้เมล็ดพันธุ์สามารถคงอยู่ได้นานหลายทศวรรษ หรือหลายพันปี หากเกิดไฟฟ้าดับ ชั้นดินเยือกแข็งจะช่วยปกป้องเมล็ดพันธุ์ได้ เจ้าของเมล็ดพันธุ์จะเป็นผู้ฝาก และเฉพาะผู้ฝากเท่านั้นที่สามารถเบิกเมล็ดพันธุ์ได้

เมล็ดพันธุ์จากไทยในธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชโลก
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งเมล็ดพันธุ์พืชไปเก็บรักษาไว้ใน Svalbard Global Seed Vault โดยครั้งที่ 1 - ปี 2013 ส่งเมล็ดพันธุ์ถั่วสกุล Vigna จำนวน 150 ตัวอย่างพันธุ์ ครั้งที่ 2 - ปี 2018 ส่งเมล็ดพันธุ์พืช 12 ชนิด 32 ตัวอย่างพันธุ์ ได้แก่ พริก, ผักบุ้ง, มะเขือเทศ, ถั่วฝักยาว, กระเจี๊ยบเขียว, กวางตุ้ง, ฝ้าย, ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, ถั่วเขียวผิวมัน, ถั่วเขียวผิวดำ, และถั่วหรั่ง ครั้งที่ 3 - ปี 2020 ส่งเมล็ดพันธุ์พืชรับรองและพันธุ์พืชแนะนำจำนวน 8 ชนิด 23 ตัวอย่างพันธุ์ ได้แก่ ถั่วพุ่ม, ข้าวโพด, ข้าวสาลี, ถั่วเหลือง, ถั่วเขียว, ถั่วเขียวผิวดำ, ข้าวบาร์เลย์, และงา โดยล่าสุดครั้งที่ 4 - ปี 2025 ประเทศไทยส่งเม็ดพันธุ์ข้าวไทยไปเก็บรักษาไว้ 300 ตัวอย่างพันธุ์ ซึ่งรวมในตัวอย่างเมล็ดพันธุ์ใหม่ที่ Svalbard Global Seed Vault รับเข้าใหม่ในวันที่ 5 มีนาคม 2025 มากกว่า 12,000 ตัวอย่าง

อ่านมาถึงตรงนี้คงเข้าใจกันแล้วว่า ห้องนิรภัยวันสิ้นโลก หรือ Svalbard Global Seed Vault ไม่ใช่แค่สถานที่เก็บเมล็ดพันธุ์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการรับผิดชอบต่ออนาคตและความยั่งยืนของมนุษยชาติ ความสำคัญของการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ไม่ได้จำกัดแค่การป้องกันภัยธรรมชาติหรือสงคราม แต่มันเป็นการสร้างความหวังให้โลกในอนาคตที่อาจเผชิญกับความท้าทาย
เมล็ดพันธุ์ที่จัดเก็บในวันนี้อาจเป็นอนาคตของโลก เมื่อความหิวโหยและภัยพิบัติกลายเป็นปัญหาหลัก เมล็ดพันธุ์ใน Svalbard Global Seed Vault จะเป็นกุญแจที่นำพามนุษย์กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็ทำให้เรามีข้าวกินในโลกที่อาจจะไม่มีอะไรเหลือ