ในวันที่ชีวิตหนักจนแทบลุกไม่ไหว วันที่โลกไม่น่ารักและสาดความใจร้ายใส่จนเต็มกลืน วันที่ต้องต่อสู้กับมหันตภัยเพียงลำพังจนคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีใครที่เข้าใจ ลองมองไปที่มุมห้องหรือลองมองรอบตัวดูจะพบความมหัศจรรย์หนึ่งที่อย่างน้อยก็บอกได้ว่าโลกไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นแต่ยังได้เสกความมหัศจรรย์นี้มาให้ในวันที่หมดแรง
ใครก็ตามที่มีสัตว์เลี้ยงในครอบครองสังเกตหรือไม่ว่าสัตว์เลี้ยงของเราแม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยหรือสื่อสารกันอย่างจริงจัง แต่พวกน้องๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเรา ทั้งในวันที่มีความสุขและวันที่มีความเศร้ากังวลใจสัตว์เลี้ยงของเรารับรู้ได้เสมอ และล้วนมีวิธีแสดงความรักและสร้างความสบายใจให้เราได้อยู่ตลอดแม้ว่าเราจะมองข้ามไปก็ตาม
สัตว์เลี้ยงไม่ได้เป็นแค่เพื่อนเล่นหากแต่เป็นเสมือนกระจกสะท้อนอารมณ์ของเจ้าของ ในวันที่แฮปปี้พวกมันจะซึมซับพลังงานดีๆ จากเราโดยไร้ข้อกังขาว่า "นี่มันดีจริงรึเปล่า" หรือ "แล้วต่อไปจะเป็นยังไง" แต่จะมีเพียงการอยู่ตรงนั้น กระดิกหาง ซุกตัวเข้ามาใกล้ หรือมองด้วยสายตาเป็นประกายว่าแค่เห็นมันก็มีความสุขไปด้วยและให้ความรู้สึกเหมือนได้รับการยืนยันว่าความสุขนี้เป็นของจริง แต่พอถึงวันที่ทุกอย่างดูยากเย็นไปหมดพวกมันก็เปลี่ยนบทบาทแบบอัตโนมัติจากคู่หูแห่งความสุขกลายเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างแบบเงียบๆ ไม่มีคำพูดปลอบใจ ไม่มีเหตุผลเชิงตรรกะแต่รับรู้ถึงความรู้สึกของเราได้
ส่วนตัวของนักเขียนเองเคยมีประสบการณ์ที่น่ารักกับแมวที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่นแก้เหงาของคุณพ่อวัยเกษียณ แมวตัวนี้มีชื่อว่า ‘มะลิ’ เป็นแมวพันธุ์ไทยลายสลิดที่เก็บมาเลี้ยงหลังจากที่พบว่ามะลิติดท้องรถมาตกที่บ้านตั้งแต่อายุประมาณสองเดือน มะลิเป็นเหมือนคู่กัดกับคนทั้งบ้านยกเว้นคุณพ่อที่มะลิจะรักเป็นพิเศษ

เช้าวันหนึ่งที่ร่างกายอ่อนล้าจากความเหนื่อยที่สะสมมาตลอดสัปดาห์ ในขณะที่กำลังนอนเล่นบนโซฟาในห้องนั่งเล่นเราเกิดอาการตะคริวเล่นงานที่น่องจนขยับไม่ได้ เพราะไม่เคยชินกับอาการทำให้เรารู้สึกถึงความทรมานจนร้องไห้ออกมา มะลิที่เป็นคู่กัดกันมาตลอดรีบวิ่งปรี่มาหาเราไวกว่าคนอื่นที่อยู่ในบ้าน มะลิปีนสองขาหน้าเกาะขอบโซฟามาดมหน้าเราที่กำลังนอนร้องไห้แต่ไม่ได้พยายามทำอะไรมากกว่านั้น มะลิยืนด้วยสองขาหลังอยู่ตรงนั้นส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างที่เหมือนจะบอกว่า "ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่ตรงนี้" ทันทีที่ความเจ็บปวดเบาบางลงก็กลับกลายเป็นความรู้สึกเอ็นดูที่แมวอย่างมะลิมาดูแลในทันทีทั้งที่ปกติจะพุ่งเป้ามางับที่หน้าแข้งเราเสียมากกว่า
เพราะมะลิเป็นแมวเลี้ยงจึงอาจจะมีความผูกพันกับคนในบ้านอยู่พอสมควร แต่ในโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่น่าทึ่งอยู่อีกมากมายไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยงที่เติบโตมากับเราเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้ แม้แต่แมวจร หมาไร้เจ้าของต่างก็มีสัญชาตญาณในการส่งต่อความห่วงใยให้กับมนุษย์เช่นกัน หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องสุนัขจรที่พาเด็กหลงทางกลับบ้าน หรือแมวข้างถนนที่นั่งข้างใครบางคนที่กำลังร้องไห้หน้าร้านสะดวกซื้อ ทั้งที่พวกมันไม่ได้ถูกฝึกให้เข้าใจอารมณ์ของคนแต่กลับรับรู้ได้และเลือกจะอยู่ตรงนั้นเพื่อใครสักคน
บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเราเป็นฝ่ายให้อยู่ฝ่ายเดียวมาเสมอ ทั้งให้อาหาร ให้ที่พัก ให้ความรักแก่สัตว์ต่างๆ แต่ในความจริงแล้วพวกมันก็เป็นผู้ให้เหมือนกัน ให้แบบที่ลึกซึ้งจนเราไม่ทันสังเกต ความพิเศษของสัตว์พวกนี้คือการมอบความรักให้แบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่ามันจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เติบโตมากับเราหรือสัตว์ข้างถนนที่เราเจอเพียงครั้งเดียว ความรักของพวกมันไม่ต้องการคำพูด ไม่ต้องการเหตุผลแต่รับรู้ได้ด้วยใจ และบางครั้งแค่มีใครสักคนหรือสักตัวที่เข้าใจเราโดยไม่ต้องพูดอะไรมันก็เพียงพอแล้ว