หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 : 4 วินิจฉัยให้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีลงทันที ฐานผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในคดี 40 สว. ยื่นตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่ามีปัญหาเรื่องคุณสมบัติตั้งแต่ต้น

‘สมชาย แสวงการ’ อดีตสมาชิกวุฒิสภา หนึ่งใน 40 สว. ที่เข้าชื่อถอดถอนเศรษฐา ให้สัมภาษณ์หลังร่วมฟังคำวินิจฉัยว่า ขอบคุณและส่วนตัวเชื่อมั่นในหลักนิติธรรม มองว่าการที่ ‘เศรษฐา’ พ้นจากความเป็นนายกฯ เพราะมีความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงเนื่องจากนำชื่อ ‘พิชิต ชื่นบาน’ ซึ่งมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ขึ้นกราบบังคมทูลเป็นรัฐมนตรีทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่ามีปัญหาเรื่องคุณสมบัติตั้งแต่ต้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองไม่รู้ เพราะในฐานะผู้บริหารประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรีต้องรู้และต้องรับผิดชอบ

‘สมชาย’ ยืนยันว่าการยื่นคำร้องครั้งนี้ ไม่มีใบสั่งจากกลุ่มขั้วอำนาจเก่า และเราทำหน้าที่ถึงที่สุดแล้ว ส่วนคนที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในบัญชีแคนดิเดต มั่นใจว่าการเลือกนายกฯ จะไม่วุ่นวาย พร้อมปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่านายกฯ คนถัดไป ควรมีคุณสมบัติอย่างไร โดยย้ำเพียงว่ารายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่มีอยู่ถือว่าเหมาะสมแล้ว และเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองที่ต้องไปตกลงกัน

เมื่อถามว่าการเลือกนายกฯ คนต่อไปจะถือว่าเป็นการเลือกนายกฯ โดยใช้เสียง สส. เพียงอย่างเดียว ปราศจากเสียงโหวตจาก สว. ‘สมชาย’ มองว่า ถือเป็นการกลับสู่ภาวะปกติ เพราะการเลือกนายกฯ โดยใช้เสียง สว. ในช่วงที่ผ่านมา เป็นเพียงการทำหน้าที่ตามบทเฉพาะกาลเท่านั้น

พร้อมมองว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นบรรทัดฐานว่านายกฯ และผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ ไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม การเมืองต้องไม่มีการต่างตอบแทน และส่วนตัวไม่รู้สึกผิดที่ยื่นร้องจนทำให้นโยบายต่างๆ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท วอลเล็ตต้องสะดุด เพราะการเมืองยังสามารถเดินหน้าต่อได้ และมองว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาพิจารณานโยบายนี้ต่อ

ทั้งนี้ ‘นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช’ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเศรษฐา ให้มารับฟังคำวินิจฉัยแทน ได้เลี่ยงพบสื่อทั้งช่วงที่เดินทางมาและเดินทางกลับ