ตัด ‘สวัสดิการถ้วนหน้า’ รัฐประหยัดขึ้น จริงหรือ?

16 ส.ค. 2566 - 08:48

  • อ่านความคิดของ ‘ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี’ อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ขับเคลื่อนเรื่องรัฐสวัสดิการโดยตรง กับประเด็นดราม่า ‘พิสูจน์ความจน’ แลก ‘เบี้ยคนแก่’ รัฐไทยประหยัดขึ้นจริงไหม

Academics-criticize-government-for-senior-citizen-allowance-management-SPACEBAR-Thumbnail
หลังมีข่าวกระทรวงมหาดไทย ได้ปรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน ‘เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ’ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา เกิดการตั้งคำถามจากสังคมถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะในหมวดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเบี้ยยังชีพ ข้อ 4 ‘เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด’ 

รายละเอียดกล่าวกันแบบเข้าใจง่ายคือ จะจ่ายเบี้ยให้กับผู้สูงวัยที่เข้าเกณฑ์ว่า ‘ยากจน’ จากการ ‘พิสูจน์’ โดยรัฐ คล้ายคลึงกับช่วยเหลือแบบ ‘รัฐสงเคราะห์’ ไม่ใช่การจ่ายเบี้ยแบบ ‘ถ้วนหน้า’ ตามที่ปฏิบัติมา 

หากสะท้อนประเด็นดังกล่าว ผ่านสายตาของ ‘ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี’ อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ขับเคลื่อนเรื่องรัฐสวัสดิการโดยตรง ที่มองว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความ ‘ถอยหลัง’ ของระบบ ‘สวัสดิการถ้วนหน้า’ ที่ผ่านการพิสูจน์เชิงทฤษฎีและปฏิบัติมามากมายจนเกิดผลลัพธ์ แสดงประสิทธิภาพมากในการรักษาพยาบาล หรือดูแลผู้สูงอายุสูงสุด ซึ่งหากสิ้นสุดระบบดังกล่าวย่อมส่งภาระต่อไปยังคนในช่วงวัยต่างๆ ที่ต้องดูแลผู้สูงอายุด้วยตนเองมากขึ้นด้วย 

“ผมจึงมองว่าเป็นความถอยหลังของระบบสวัสดิการของเรา และจะทำให้จำนวนผู้สูงอายุจำนวนหลายล้านคนต้องตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก เป็นลูกโซ่ส่งต่อถึงคนวัยทำงานและเด็กด้วย แบบรุ่นสู่รุ่น” 

ระบบการดูแลคนแก่ที่สวนทางกับ ‘สังคมสูงอายุ’

จากข้อมูลของสำนักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย ประเทศไทยได้กลายเป็น ‘สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์’ (Aged Society) ไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 นอกจากนี้ บางรายงานยังเชื่อว่าต่อจากนี้จะมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงปีละ 20 เปอร์เซ็นต์ สวนทางกับจำนวนการเกิดที่ลดน้อยลง ส่งผลให้รัฐควรหยิบชูประเด็นสวัสดิการผู้สูงอายุมากขึ้น ในส่วนการหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง ประชาชนจะเห็นว่า ทุกพรรคการเมืองต่างพยายามหยิบยกนโยบาย เพิ่มจำนวนเบี้ยผู้สูงอายุด้วย 

สำหรับสถิติจำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทย จากข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ระบุข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จะพบว่า ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุ (หรือมีอายุ 60 ปีขึ้นไป) จำนวนทั้งสิ้น 12,698,362 คน คำนวนเป็นได้ร้อยละ 19.21 ของจำนวนประชาการทั้งหมดกว่า 66 ล้านคน 

การปรับเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงวัยของกระทรวงมหาดไทย ที่ดูเป็นการ ‘คัดเลือก’ จากการ ‘พิสูจน์ความจน’ เลือกจ่าย ‘แบบไม่ถ้วนหน้า’ นับเป็นมุมมองการบริหารที่สวนทางกับสังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 

ษัษฐรัมย์ ระบุว่า ก่อนหน้านี้หน่วยงานภาครัฐมักจัดกิจกรรม ถ่ายทอดความรู้ถึงสังคมผู้สูงอายุเยอะแยะมากมาย แต่ความเป็นจริงสิ่งที่ง่ายที่สุด คือการทำให้คนแก่มีชีวิตที่ปลอดภัย บันไดขั้นที่ 1 คือระบบบำนาญ ที่ไม่จำเป็นต้องคิดซับซ้อน เพราะระบบถ้วนหน้าคือระบบที่ส่งต่อถึงคนจนได้ดีที่สุด

“คนจนที่ไหนเขาจะมีเวลาลงทะเบียนขอไม้เท้าขอผ้าอ้อม ใครจะมีเวลาเดินทางข้ามจังหวัดไปยืนยันตัวตน และภาครัฐต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ ในการจ้างบุคลากรเพื่อพิสูจน์ความจน เราต้องการสวัสดิการถ้วนหน้า แต่สิ่งที่รัฐบาลทำมันเป็นตรงกันข้าม” 

ข้ออ้างของรัฐในการตัดสวัสดิการถ้วนหน้า?

“งบประมาณเบี้ยผู้สูงอายุปัจจุบันอยู่ที่ 7 หมื่นล้าน สมมติคุณเอางบคนแก่ออกไปบางส่วน จะประหยัดได้แค่ 2 หมื่นล้าน ซึ่งมันคือเศษสตางค์ของงบรายจ่ายประจำปี ที่มีอยู่มากกว่าสามล้านล้านบาท มันประหยัดได้ไม่ถึงเรือดำน้ำครึ่งลำด้วยซ้ำ จริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่คุณอยากเอางบประมาณพวกนี้ไปทำอย่างอื่น มันชัดเจนเลย” 

เป็นอีกเสียงสะท้อนของษัษฐรัมย์ ทีเชื่อว่าการหยิบยกเรื่องภาษีมาเป็นข้ออ้างการปรับเกณฑ์ - ตัดสวัสดิการถ้วนหน้าออกไป เพื่อสอดรับกับอนาคตเป็นเพียง ‘ข้ออ้าง’ ของรัฐบาลรักษาการชุดนี้ เพราะความจริงมีงบประมาณรัฐหลายประการที่ยังถูกใช่จ่ายเหมือนเดิม โดยเฉพาะงบประมาณด้านความมั่นคง ในเฟซบุ๊กของเขายังโพสต์เหน็บแนมการบริหารจัดการของรัฐไว้อย่างน่าสนใจ  

‘ทหารเกณฑ์ใช้ระบบถ้วนหน้า ส่วนเบี้ยคนแก่ใช้ระบบสงเคราะห์พิสูจน์ความจน’ 

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องรัฐสวัสดิการมองว่า สิ่งที่กระทรวงการคลังจำเป็นต้องทำ ไม่ใช่ประเด็นการตัดเบี้ยคนแก่ แต่คือการไปเก็บภาษีจากชนชั้นนำทางเศรษฐกิจให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตัดงบประมาณโครงการขนาดใหญ่ ที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน แล้วเพิ่มระบบบำนาญถ้วนหน้าให้กับประชาชนผู้สูงมากขึ้น จากจำนวนเดิม 600 บาทต่อเดือน ในส่วนการช่วยเหลืออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการมอบสิ่งของเครื่องใช้สามารถทำควบคู่กันได้ แต่ต้องไม่ลืมปัจจัยขั้นแรกคือระบบบำนาญที่จะทำให้ระบบอื่นๆ สามารถทำงานขับเคลื่อนได้ดีขึ้น 

“มันต้องนำโดยสวัสดิการถ้วนหน้า ไม่ใช่การสงเคราะห์แบบที่ต้องมาลงทะเบียนพิสูจน์ความจน แต่มันต้องได้ทุกคน ตั้งแต่เจ้าสัวเถ่าแก้ร้านทอง ไปจนถึงคนที่ยากจนที่สุดในสังคมแบบเท่ากัน แล้วคุณจะไปช่วยเหลืออย่างอื่นก็ว่าไป” ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์