นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ปราศรัยเวทีคิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน ตอน One Team for all Thais : หนึ่งทีมเพื่อไทยทุกคน ว่า วันนี้ พรรคเพื่อไทยได้ยื่นบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 รายชื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เรียบร้อย วันที่ 14 พฤษภาคม ปิดฉาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกไป เอาระบอบประยุทธ์ออกไปพร้อมทั้ง 250 ส.ว.และเครือข่าย 3 ป.
ส่วนกระแสข่าวการจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ นั้น ตนขอทุบโต๊ะยืนยันอีกครั้งว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่จับมือกับใคร ไม่ดีลกับใคร พรรคเพื่อไทยมุ่งหน้าตั้งเป้าแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน 310 เสียงขึ้นไป แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คนนั้นมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง เป็นผู้มีทักษะและจิตวิญญาณความรักในการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนอย่างโดดเด่น แค่ 1 ปี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้รับการตอบรับจากพี่น้องยกให้เป็นลำดับที่ 1 ที่อยากให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี แคนดิเดตคนที่ 2 เป็นนักธุรกิจที่มีความสำเร็จได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการภาคธุรกิจ และเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึก เข้าใจวิถีชีวิตความเป็นมนุษย์ด้วยหัวใจและเห็นอกเห็นใจ แคนดิเดตคนที่ 3 คือบุคลากรจากภาครัฐ ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในหน้าที่การงาน เชี่ยวชาญด้านการกฎหมายและยุติธรรม เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่กฎหมายถูกใช้อย่างล้นเกินจนละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า หมายเลข 29 นั้นจะมีปัญหาว่าประชาชนจะจำหมายเลขไม่ได้นั้น ขอบอกว่าไม่ต้องห่วงว่าประชาชนจะจำหมายเลขพรรคเพื่อไทยไม่ได้เลย เพราะไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้หมายเลขอะไร ประชาชนจำได้หมดเพราะที่ผ่านมากว่า 8 ปี ประชาชนจำได้จนซึ้งสาแก่ใจแล้วว่าไม่มียุคนายกรัฐมนตรีคนไหนบริหารบ้านเมืองแล้วพังพินาศ ประชาชนอดอยากเจอโรคระบาดตายข้างถนนได้เท่านี้อีกแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าเบอร์ 29 คนไทยก็จำแม่นตั้งแต่วินาทีแรกที่จับเบอร์แล้ว เพราะต้องจำไปเพื่อไล่พลเอกประยุทธ์ ไล่ 3 ป.ออกไปเท่านั้น
ส่วนที่มีคนถามว่า แล้วที่พรรค พล.อ.ประยุทธ์ ได้หมายเลข 22 นั้น ก็เพราะว่า วันที่ทำการยึดอำนาจคนไทยต้นเหตุแห่งความหายนะของประเทศตลอด 8 ปี หมายเลข 22 จึงตอกย้ำความจำและความเจ็บปวดของประชาชน ดังนั้น เมื่อคุณมาวันที่ 22 คุณก็ต้องไปด้วยเบอร์ 22 คือประชาชนจะปฏิเสธ พลเอกประยุทธ์มาทางไหนก็ให้ไปทางนั้น และก็หมายถึงไปกันทั้ง 2 พี่น้องพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร นั้นเอง
ชัยเกษม นิติสิริ ประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จุดยืนในการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ตนยังคงยืนยันถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรม ในฐานะอดีตข้าราชการ ได้รับการสอนมาเสมอว่า กฎหมายคือเครื่องมือรัฐในการควบคุมการดำเนินกิจกรรมของสังคม อำนวยความสะดวกประชาชน และพัฒนาประเทศชาติ
แต่ 8 ปีที่ผ่านมากฎหมายกลับกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐจงใจนำไปใช้อย่างผิดรูป จนกระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ข้าราชการไม่ได้บริการประชาชนด้วยหัวใจ ไร้ซึ่งมิตรภาพและการมองเห็นประชาชนเป็นผู้เสียภาษี ระบบราชการเอื้อผลประโยชน์ให้คนเพียงไม่กี่กลุ่ม
อันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่เป็นผลพวงจากการยึดอำนาจ ของคณะรัฐประหาร ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อสืบทอดอำนาจของพรรคพวกตัวเอง และปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ มีแต่เพียงการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญลวงตาของคณะรัฐประหาร
ชัยเกษม กล่าวต่อว่า นโยบาย 3 ประการ ที่จะสร้าง นิติธรรมนิติรัฐดี ส่งเสริมให้เศรษฐกิจดีขึ้น และชีวิตทุกคนที่จะดีตามมา ได้แก่ ทำให้กระบวนการยุติธรรมเท่ากับความยุติธรรม, ปฏิรูประบบราชการทั้งระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชนอีกครั้ง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ประการแรก พรรคเพื่อไทยจะ “สร้างกระบวนการยุติธรรมที่ซื้อไม่ได้” และปรับปรุง ยกเลิก กฎหมายที่ล้าหลัง ไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ รวมถึงลดขั้นตอนใช้ดุลยพินิจ เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรมและถ้วนหน้า
ประการที่สอง พรรคเพื่อไทยพร้อม “ปฏิรูประบบราชการท้ังระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชน”โดยการยกระดับหน่วยงานราชการเป็นดิจิตอล ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการรัฐในที่เดียว และสามารถตรวจสอบผ่าน Blockchain ได้อย่างโปร่งใส, เปลี่ยนการชำระค่าธรรมเนียมเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ และใช้ “Central Bank Digital Currency (CBDC)” ในการจัดจ้าง และดำเนินการของภาครัฐ เพื่อป้องกันการใช้เงินสดทุจริตในระบบราชการและยกระดับระบบการเงินของประเทศ รวมถึงสนับสนุนการทำ “Open Government” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ทุกภาคส่วน
ประการที่สาม พรรคเพื่อไทยขอย้ำจุดยืนที่จะ “แก้ปมแรกของทุกปัญหา ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ” เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประโยชน์ และคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ต้องมาจากการเลือกของประชาชน และต้องมีมาตราสำหรับการป้องกันรัฐประหารให้เป็นความผิดฐานเป็นกบฏ ไม่มีกำหนดอายุความ ตามที่พรรคเพื่อไทยเคยได้เสนอไว้ เพื่อให้รัฐธรรมนูญของไทยตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจอีก
ส่วนกระแสข่าวการจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ นั้น ตนขอทุบโต๊ะยืนยันอีกครั้งว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่จับมือกับใคร ไม่ดีลกับใคร พรรคเพื่อไทยมุ่งหน้าตั้งเป้าแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน 310 เสียงขึ้นไป แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คนนั้นมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง เป็นผู้มีทักษะและจิตวิญญาณความรักในการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนอย่างโดดเด่น แค่ 1 ปี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้รับการตอบรับจากพี่น้องยกให้เป็นลำดับที่ 1 ที่อยากให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี แคนดิเดตคนที่ 2 เป็นนักธุรกิจที่มีความสำเร็จได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการภาคธุรกิจ และเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึก เข้าใจวิถีชีวิตความเป็นมนุษย์ด้วยหัวใจและเห็นอกเห็นใจ แคนดิเดตคนที่ 3 คือบุคลากรจากภาครัฐ ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในหน้าที่การงาน เชี่ยวชาญด้านการกฎหมายและยุติธรรม เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่กฎหมายถูกใช้อย่างล้นเกินจนละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า หมายเลข 29 นั้นจะมีปัญหาว่าประชาชนจะจำหมายเลขไม่ได้นั้น ขอบอกว่าไม่ต้องห่วงว่าประชาชนจะจำหมายเลขพรรคเพื่อไทยไม่ได้เลย เพราะไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้หมายเลขอะไร ประชาชนจำได้หมดเพราะที่ผ่านมากว่า 8 ปี ประชาชนจำได้จนซึ้งสาแก่ใจแล้วว่าไม่มียุคนายกรัฐมนตรีคนไหนบริหารบ้านเมืองแล้วพังพินาศ ประชาชนอดอยากเจอโรคระบาดตายข้างถนนได้เท่านี้อีกแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าเบอร์ 29 คนไทยก็จำแม่นตั้งแต่วินาทีแรกที่จับเบอร์แล้ว เพราะต้องจำไปเพื่อไล่พลเอกประยุทธ์ ไล่ 3 ป.ออกไปเท่านั้น
ส่วนที่มีคนถามว่า แล้วที่พรรค พล.อ.ประยุทธ์ ได้หมายเลข 22 นั้น ก็เพราะว่า วันที่ทำการยึดอำนาจคนไทยต้นเหตุแห่งความหายนะของประเทศตลอด 8 ปี หมายเลข 22 จึงตอกย้ำความจำและความเจ็บปวดของประชาชน ดังนั้น เมื่อคุณมาวันที่ 22 คุณก็ต้องไปด้วยเบอร์ 22 คือประชาชนจะปฏิเสธ พลเอกประยุทธ์มาทางไหนก็ให้ไปทางนั้น และก็หมายถึงไปกันทั้ง 2 พี่น้องพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร นั้นเอง
ชัยเกษม นิติสิริ ประธานยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จุดยืนในการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ตนยังคงยืนยันถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรม ในฐานะอดีตข้าราชการ ได้รับการสอนมาเสมอว่า กฎหมายคือเครื่องมือรัฐในการควบคุมการดำเนินกิจกรรมของสังคม อำนวยความสะดวกประชาชน และพัฒนาประเทศชาติ
แต่ 8 ปีที่ผ่านมากฎหมายกลับกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐจงใจนำไปใช้อย่างผิดรูป จนกระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว ข้าราชการไม่ได้บริการประชาชนด้วยหัวใจ ไร้ซึ่งมิตรภาพและการมองเห็นประชาชนเป็นผู้เสียภาษี ระบบราชการเอื้อผลประโยชน์ให้คนเพียงไม่กี่กลุ่ม
อันเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่เป็นผลพวงจากการยึดอำนาจ ของคณะรัฐประหาร ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อสืบทอดอำนาจของพรรคพวกตัวเอง และปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ มีแต่เพียงการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญลวงตาของคณะรัฐประหาร
ชัยเกษม กล่าวต่อว่า นโยบาย 3 ประการ ที่จะสร้าง นิติธรรมนิติรัฐดี ส่งเสริมให้เศรษฐกิจดีขึ้น และชีวิตทุกคนที่จะดีตามมา ได้แก่ ทำให้กระบวนการยุติธรรมเท่ากับความยุติธรรม, ปฏิรูประบบราชการทั้งระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชนอีกครั้ง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ประการแรก พรรคเพื่อไทยจะ “สร้างกระบวนการยุติธรรมที่ซื้อไม่ได้” และปรับปรุง ยกเลิก กฎหมายที่ล้าหลัง ไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ รวมถึงลดขั้นตอนใช้ดุลยพินิจ เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรมและถ้วนหน้า
ประการที่สอง พรรคเพื่อไทยพร้อม “ปฏิรูประบบราชการท้ังระบบให้กลับมามีหัวใจเป็นประชาชน”โดยการยกระดับหน่วยงานราชการเป็นดิจิตอล ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการรัฐในที่เดียว และสามารถตรวจสอบผ่าน Blockchain ได้อย่างโปร่งใส, เปลี่ยนการชำระค่าธรรมเนียมเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ และใช้ “Central Bank Digital Currency (CBDC)” ในการจัดจ้าง และดำเนินการของภาครัฐ เพื่อป้องกันการใช้เงินสดทุจริตในระบบราชการและยกระดับระบบการเงินของประเทศ รวมถึงสนับสนุนการทำ “Open Government” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ทุกภาคส่วน
ประการที่สาม พรรคเพื่อไทยขอย้ำจุดยืนที่จะ “แก้ปมแรกของทุกปัญหา ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ” เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประโยชน์ และคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ต้องมาจากการเลือกของประชาชน และต้องมีมาตราสำหรับการป้องกันรัฐประหารให้เป็นความผิดฐานเป็นกบฏ ไม่มีกำหนดอายุความ ตามที่พรรคเพื่อไทยเคยได้เสนอไว้ เพื่อให้รัฐธรรมนูญของไทยตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจอีก