ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้มีการประชุม สส.พรรคก้าวไกล ที่อาคารไทยซัมมิท โดยมี สส.ทยอยเดินทางมาร่วมประชุมกันตั้งแต่ช่วงบ่าย ทั้งนี้ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีที่ยกเลิกการประชุมร่วม 8 พรรคที่ร่วมการจัดตั้งรัฐบาล ในวันนี้ (25 ก.ค.) ว่า ได้รับแจ้งจากพรรคเพื่อไทยว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ในการประสาน สส.และ สว.ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ขณะเดียวกันทราบว่า จะมีการยกเลิกการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 27 ก.ค.
ส่วนท่าทีของพรรคไทยสร้างไทย ที่บอกว่า ไม่สนับสนุนการแก้ไข มาตรา 112 ไม่ถือเป็นสัญญาณอะไรในการจับมือกันของ 8 พรรคร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล เพราะสิ่งที่ได้คุยกันมาตลอด ตั้งแต่ตอนทำ MOU คือเรื่องของการแก้ไขมาตรา 112 ไม่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงในการร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว ดังนั้น ขออย่าเพิ่งรีบไปสรุปว่า 8 พรรคเริ่มแตกกัน
ส่วนที่มีข้อเสนอให้พรรคเพื่อไทยทำ MOU ใหม่นั้น ชัยธวัช กล่าวว่า ขอให้รอฟังจากพรรคเพื่อไทยจะดีกว่า ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณอะไรมา และทั้งหมดจะต้องดูในรายละเอียด ตนคิดว่า การที่พรรคเพื่อไทยขอเลื่อนการประชุม 8 พรรคไปก่อนเป็นการสะท้อนถึงความพยายามหาทางออกต่างๆให้ดีที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ดังนั้นการทำงานร่วมกันก็ต้องมีความไว้ใจกัน
สำหรับกรณีที่พรรคก้าวไกลประกาศไม่ร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ ได้แจ้งไปยังพรรคเพื่อไทยแล้วหรือยังนั้น ชัยธวัช กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย น่าจะทราบจากข่าวแล้ว ตามมติของที่ประชุมสส.ก้าวไกลเป็นอย่างไร และวันนี้หากได้มีการประชุมร่วม 8 พรรคก็จะแจ้งให้ทราบ อย่างเป็นทางการ ซึ่งพรรคก้าวไกลยังคงยึดมั่นในเป้าหมายสำคัญที่สุดคือความพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้พื้นฐานของ 8 พรรคการเมืองให้สำเร็จตามเจตจำนงที่ประชาชนได้แสดงออกไปแล้วผ่านการเลือกตั้ง ส่วนร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยได้หรือไม่นั้น ขอให้รอฟังรายละเอียดจากพรรคเพื่อไทยก่อน แม้จะมีการเชิญหลายพรรคการเมืองมาพูดคุยกัน แต่พรรคเพื่อไทยก็ยืนยันว่า ไม่ได้เชิญมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล เพียงแต่รับฟังความคิดเห็น ดังนั้นหลังจากนี้คงจะได้มีการพูดคุยกันเร็วที่สุด เพราะเวลามีจำกัด แต่เมื่อทางเพื่อไทยยังไม่พร้อม ก็อาจขยับเวลาไปอีกนิดหน่อย
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากการจัดตั้งรัฐบาลตกไปอยู่ในมือพรรคอันดับ 3 ชัยธวัช กล่าวว่า ตนไม่ค่อยกังวล แต่หากพรรคการเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจับมือกันแน่น การพลิกขั้วรัฐบาล ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ และเชื่อว่า รัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสภา ฉะนั้นวันนี้ ยังต้องพยายามจับมือกันให้แน่น และตนคิดว่า สิ่งที่ทำให้พรรคการเมืองทั้ง 8 พรรคจับมือกันแน่นคือประชาชน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ทราบว่ามีข้อเสนอ มากี่ Option บ้าง จากพรรคเพื่อไทยที่จะมาพูดคุยกัน
ชัยธวัช ยังกล่าวถึงการประสานขอเสียงจาก สว.ว่า ได้มีการพูดคุยกับ สว.ที่ครั้งที่แล้วไม่ได้โหวตให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ก็มีสัญญาณดีๆ จากหลายคนว่า พร้อมจะโหวตให้ แม้ว่าพรรคก้าวไกลยังร่วมรัฐบาลอยู่
สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องผู้ตรวจการแผ่นดินที่ขอให้วินิจฉัยกระบวนการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมาชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภา ชะลอกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีออกไปก่อนว่า พรรคก้าวไกลมีจุดยืนมาโดยตลอด ว่าอะไรที่เป็นอำนาจของสภาฯ อยู่แล้ว ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญมามีอำนาจเหนือสภาฯ ยกเว้นเรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่า ให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นการพยายามให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลที่ สส.พรรคก้าวไกลไม่ไปยื่นเรื่องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีคนยื่นไปแล้วก็ต้องรอดูว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับพิจารณาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับเรื่องไว้ ตนก็ยังเชื่อว่า สภาจะมีทางออกอื่น ซึ่งคงต้องหารือกับประธานรัฐสภาต่อไปว่า เมื่อมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างชัดเจนมาก จากนักกฎหมายทั่วประเทศว่า มติการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ที่ไม่ให้เสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สามารถที่จะมีทางออกที่สภาฯ จะจัดการกันเองได้
“ผมเห็นด้วยที่จะปลดล็อกกับมติที่พรรคก้าวไกล ก็เห็นว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นข้อจำกัดในการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะมาจากพรรคก้าวไกล เพื่อไทยหรือมาจากพรรคอื่นก็ควรจะเสนอชื่อได้ ครั้งแรกเราอาจจะได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว.ไม่พอ ครั้งต่อๆ ไปอาจจะมากขึ้นตามลำดับได้ ดังนั้นควรจะปลดล็อกเรื่องนี้ ซึ่งเราเห็นด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ช่องทางของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น ผมเชื่อว่า ถ้าทางรัฐสภาปรึกษาหารือฝ่ายกฎหมายดีๆ เราอาจจะมีทางออกอื่น คิดว่ากระบวนการประชาธิปไตยต้องมีทางออก จะตีความว่าทุกอย่างไปสู่ทางตันไม่ได้” ชัยธวัช กล่าว
ส่วนข้อเสนอที่ให้เลื่อนเวลาโหวตเรื่องนายกรัฐมนตรีออกไปจนกว่าวุฒิสภาจะหมดวาระนั้น ชัยธวัช กล่าวว่า ข้อเสนอที่ให้รอ 10 เดือนนั้น เป็นการสะท้อนความรู้สึกของประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่รู้สึกว่ารอได้ กับการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน แต่ระยะเวลา 10 เดือนก็อาจจะนานเกินไป ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือหากระบวนการเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้
เพราะประเทศไม่ได้ถึงทางตันขนาดนั้น และหากมีการปลดล็อกมติข้อบังคับ การประชุมรัฐสภา ก็จะช่วยได้มาก ซึ่งอาจจะไม่ได้ภายใน 1 สัปดาห์ อาจจะใช้เวลามากสักหน่อยแต่ก็สามารถจะตั้งรัฐบาลที่มีความชอบธรรมทางการเมืองได้ เป็นที่ยอมรับ ของประชาชนได้ มีเสถียรภาพทางการเมือง ได้รัฐบาลที่มีศักยภาพที่จะฟื้นฟูประชาธิปไตยกลับมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อว่า ประชาชนต้องการที่สุด ดังนั้นขออย่าสรุปว่า ถ้าไม่รีบไปจับมือกับขั้วอำนาจเดิม จะไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ต้องรอไป 10 เดือน คนยังเชื่อว่า ถ้า 8 พรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลถ้าจับมือกันแน่น ไม่มีทางที่จะเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ และยังเชื่อว่า สุดท้ายเมื่อถึงจังหวะหนึ่ง สว. น่าจะมีวิจารณญาณมากพอ ที่ไม่ต้องการฝืนความรู้สึกของสังคม ดังนั้นต้องช่วยกันหาทางออกให้กับการเมือง ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลยังพยายามให้ ดีที่สุดที่จะจัดตั้งรัฐบาลตามการเลือกตั้งให้ได้
เมื่อถามว่า สุดท้ายแล้วจะตัดสินใจ เดินออกมาเองหรือรอให้พรรคเพื่อไทยปรับออก ชับธวัช กล่าวว่า วันนี้ที่พรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อให้กับพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ถ้าถึงสถานการณ์สุดท้ายจริงๆ ไม่มีทางออกอื่น ตนคิดว่า เป็นสิทธิที่พรรคเพื่อไทยจะเลือกว่า จะเลือกสมการจัดตั้งรัฐบาลแบบไหนแต่สิ่งที่พรรคก้าวไกลเลือกคือจัดตั้งรัฐบาลให้ดีที่สุด ให้การจัดตั้งรัฐบาลตามเจตจำนงของประชาชนเป็นไปได้
ฉะนั้นต้องรอฟังพรรคเพื่อไทย
สำหรับกรณีที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่า พรรคก้าวไกลต้องเสียสละนั้น ชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับการพูดคุยกันใน 8 พรรค ไม่กังวลว่า จะมีปัญหาอะไรในอนาคต
ชัยธวัช ยังกล่าวถึงกระแสดราม่าที่ ระบุ ท่านั่งของ รัชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคก้าวไกลในสภาฯ ว่า ยังไม่เห็นรายละเอียด แต่แน่นอนว่า หากมีข้อวิจารณ์ต่อความประพฤติ หรือการทำอะไรที่ไม่เหมาะสมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกล เราก็จะสะท้อนให้สมาชิกฟังทุกครั้ง
ส่วนท่าทีของพรรคไทยสร้างไทย ที่บอกว่า ไม่สนับสนุนการแก้ไข มาตรา 112 ไม่ถือเป็นสัญญาณอะไรในการจับมือกันของ 8 พรรคร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล เพราะสิ่งที่ได้คุยกันมาตลอด ตั้งแต่ตอนทำ MOU คือเรื่องของการแก้ไขมาตรา 112 ไม่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงในการร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว ดังนั้น ขออย่าเพิ่งรีบไปสรุปว่า 8 พรรคเริ่มแตกกัน
ส่วนที่มีข้อเสนอให้พรรคเพื่อไทยทำ MOU ใหม่นั้น ชัยธวัช กล่าวว่า ขอให้รอฟังจากพรรคเพื่อไทยจะดีกว่า ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณอะไรมา และทั้งหมดจะต้องดูในรายละเอียด ตนคิดว่า การที่พรรคเพื่อไทยขอเลื่อนการประชุม 8 พรรคไปก่อนเป็นการสะท้อนถึงความพยายามหาทางออกต่างๆให้ดีที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ดังนั้นการทำงานร่วมกันก็ต้องมีความไว้ใจกัน
สำหรับกรณีที่พรรคก้าวไกลประกาศไม่ร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ ได้แจ้งไปยังพรรคเพื่อไทยแล้วหรือยังนั้น ชัยธวัช กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย น่าจะทราบจากข่าวแล้ว ตามมติของที่ประชุมสส.ก้าวไกลเป็นอย่างไร และวันนี้หากได้มีการประชุมร่วม 8 พรรคก็จะแจ้งให้ทราบ อย่างเป็นทางการ ซึ่งพรรคก้าวไกลยังคงยึดมั่นในเป้าหมายสำคัญที่สุดคือความพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้พื้นฐานของ 8 พรรคการเมืองให้สำเร็จตามเจตจำนงที่ประชาชนได้แสดงออกไปแล้วผ่านการเลือกตั้ง ส่วนร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยได้หรือไม่นั้น ขอให้รอฟังรายละเอียดจากพรรคเพื่อไทยก่อน แม้จะมีการเชิญหลายพรรคการเมืองมาพูดคุยกัน แต่พรรคเพื่อไทยก็ยืนยันว่า ไม่ได้เชิญมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล เพียงแต่รับฟังความคิดเห็น ดังนั้นหลังจากนี้คงจะได้มีการพูดคุยกันเร็วที่สุด เพราะเวลามีจำกัด แต่เมื่อทางเพื่อไทยยังไม่พร้อม ก็อาจขยับเวลาไปอีกนิดหน่อย
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากการจัดตั้งรัฐบาลตกไปอยู่ในมือพรรคอันดับ 3 ชัยธวัช กล่าวว่า ตนไม่ค่อยกังวล แต่หากพรรคการเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจับมือกันแน่น การพลิกขั้วรัฐบาล ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ และเชื่อว่า รัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสภา ฉะนั้นวันนี้ ยังต้องพยายามจับมือกันให้แน่น และตนคิดว่า สิ่งที่ทำให้พรรคการเมืองทั้ง 8 พรรคจับมือกันแน่นคือประชาชน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ทราบว่ามีข้อเสนอ มากี่ Option บ้าง จากพรรคเพื่อไทยที่จะมาพูดคุยกัน
ชัยธวัช ยังกล่าวถึงการประสานขอเสียงจาก สว.ว่า ได้มีการพูดคุยกับ สว.ที่ครั้งที่แล้วไม่ได้โหวตให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ก็มีสัญญาณดีๆ จากหลายคนว่า พร้อมจะโหวตให้ แม้ว่าพรรคก้าวไกลยังร่วมรัฐบาลอยู่
สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องผู้ตรวจการแผ่นดินที่ขอให้วินิจฉัยกระบวนการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมาชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รัฐสภา ชะลอกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีออกไปก่อนว่า พรรคก้าวไกลมีจุดยืนมาโดยตลอด ว่าอะไรที่เป็นอำนาจของสภาฯ อยู่แล้ว ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญมามีอำนาจเหนือสภาฯ ยกเว้นเรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่า ให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นการพยายามให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลที่ สส.พรรคก้าวไกลไม่ไปยื่นเรื่องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีคนยื่นไปแล้วก็ต้องรอดูว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับพิจารณาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับเรื่องไว้ ตนก็ยังเชื่อว่า สภาจะมีทางออกอื่น ซึ่งคงต้องหารือกับประธานรัฐสภาต่อไปว่า เมื่อมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างชัดเจนมาก จากนักกฎหมายทั่วประเทศว่า มติการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ที่ไม่ให้เสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สามารถที่จะมีทางออกที่สภาฯ จะจัดการกันเองได้
“ผมเห็นด้วยที่จะปลดล็อกกับมติที่พรรคก้าวไกล ก็เห็นว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นข้อจำกัดในการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะมาจากพรรคก้าวไกล เพื่อไทยหรือมาจากพรรคอื่นก็ควรจะเสนอชื่อได้ ครั้งแรกเราอาจจะได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว.ไม่พอ ครั้งต่อๆ ไปอาจจะมากขึ้นตามลำดับได้ ดังนั้นควรจะปลดล็อกเรื่องนี้ ซึ่งเราเห็นด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ช่องทางของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น ผมเชื่อว่า ถ้าทางรัฐสภาปรึกษาหารือฝ่ายกฎหมายดีๆ เราอาจจะมีทางออกอื่น คิดว่ากระบวนการประชาธิปไตยต้องมีทางออก จะตีความว่าทุกอย่างไปสู่ทางตันไม่ได้” ชัยธวัช กล่าว
ส่วนข้อเสนอที่ให้เลื่อนเวลาโหวตเรื่องนายกรัฐมนตรีออกไปจนกว่าวุฒิสภาจะหมดวาระนั้น ชัยธวัช กล่าวว่า ข้อเสนอที่ให้รอ 10 เดือนนั้น เป็นการสะท้อนความรู้สึกของประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่รู้สึกว่ารอได้ กับการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน แต่ระยะเวลา 10 เดือนก็อาจจะนานเกินไป ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือหากระบวนการเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้
เพราะประเทศไม่ได้ถึงทางตันขนาดนั้น และหากมีการปลดล็อกมติข้อบังคับ การประชุมรัฐสภา ก็จะช่วยได้มาก ซึ่งอาจจะไม่ได้ภายใน 1 สัปดาห์ อาจจะใช้เวลามากสักหน่อยแต่ก็สามารถจะตั้งรัฐบาลที่มีความชอบธรรมทางการเมืองได้ เป็นที่ยอมรับ ของประชาชนได้ มีเสถียรภาพทางการเมือง ได้รัฐบาลที่มีศักยภาพที่จะฟื้นฟูประชาธิปไตยกลับมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อว่า ประชาชนต้องการที่สุด ดังนั้นขออย่าสรุปว่า ถ้าไม่รีบไปจับมือกับขั้วอำนาจเดิม จะไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ต้องรอไป 10 เดือน คนยังเชื่อว่า ถ้า 8 พรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลถ้าจับมือกันแน่น ไม่มีทางที่จะเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ และยังเชื่อว่า สุดท้ายเมื่อถึงจังหวะหนึ่ง สว. น่าจะมีวิจารณญาณมากพอ ที่ไม่ต้องการฝืนความรู้สึกของสังคม ดังนั้นต้องช่วยกันหาทางออกให้กับการเมือง ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลยังพยายามให้ ดีที่สุดที่จะจัดตั้งรัฐบาลตามการเลือกตั้งให้ได้
เมื่อถามว่า สุดท้ายแล้วจะตัดสินใจ เดินออกมาเองหรือรอให้พรรคเพื่อไทยปรับออก ชับธวัช กล่าวว่า วันนี้ที่พรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อให้กับพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ถ้าถึงสถานการณ์สุดท้ายจริงๆ ไม่มีทางออกอื่น ตนคิดว่า เป็นสิทธิที่พรรคเพื่อไทยจะเลือกว่า จะเลือกสมการจัดตั้งรัฐบาลแบบไหนแต่สิ่งที่พรรคก้าวไกลเลือกคือจัดตั้งรัฐบาลให้ดีที่สุด ให้การจัดตั้งรัฐบาลตามเจตจำนงของประชาชนเป็นไปได้
ฉะนั้นต้องรอฟังพรรคเพื่อไทย
สำหรับกรณีที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่า พรรคก้าวไกลต้องเสียสละนั้น ชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับการพูดคุยกันใน 8 พรรค ไม่กังวลว่า จะมีปัญหาอะไรในอนาคต
ชัยธวัช ยังกล่าวถึงกระแสดราม่าที่ ระบุ ท่านั่งของ รัชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคก้าวไกลในสภาฯ ว่า ยังไม่เห็นรายละเอียด แต่แน่นอนว่า หากมีข้อวิจารณ์ต่อความประพฤติ หรือการทำอะไรที่ไม่เหมาะสมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกล เราก็จะสะท้อนให้สมาชิกฟังทุกครั้ง