







วราวุธ ศิลปอาชา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นำ 10 ส.ส.ของพรรคทั้งหมด เข้ารายงานตัวต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พร้อมเปิดเผยว่า วันนี้ 28 มิถุนายน เป็นฤกษ์ดีที่ ส.ส.พรรคกลับจากต่างประเทศ และอยู่กันครบ 10 คน เพื่อแสดงความพร้อมเพรียงกันและจะได้ปรึกษาหารือกัน จากที่ตนเองดูตามตาราง วันนี้เป็นวันอธิบดี อาจจะหัวเก่าแต่เอาฤกษ์เอาชัยเล็กน้อย ส่วนทิศทางการโหวตเลือกประธานสภาฯ ของพรรคชาติไทยพัฒนา ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะเป็นใคร อย่างไร ดังนั้น เช้าวันที่ 4 กรกฎาคม จะเรียกประชุมพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อหารือแนวทางของพรรคหลังจากทราบชื่อแคนดิเดตประธานสภาฯแต่ละพรรคแล้ว
ส่วนการประชุมพรรคจะร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมหรือไม่นั้น วราวุธ กล่าวว่า ต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้ง เพราะในวันนี้ยังไม่เห็นความชัดเจน ก็ยังไม่มีจะประชุมหรือหารือกันไปก็ยังไม่มีแนวทาง
เมื่อถามถึงกรณีพรรคก้าวไกลเปิดตัว ปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือหมออ๋อง เป็นแคนดิเดตประธานสภาฯ นั้น วราวุธ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่มีความเห็นใดๆ และมองว่า พรรคก้าวไกลได้พิจารณาบุคคลที่เหมาะสมแล้ว ก็เป็นสิทธิ์ของทางพรรคที่จะนำเสนอแคนดิเดตประธานสภาในส่วนของพรรคก้าวไกล
เมื่อถามว่า พรรคชาติไทยพัฒนาจะใช้ดุลพินิจอย่างไรในการโหวตเลือกประธานสภาฯ วราวุธ กล่าวว่า ตนคิดว่ารอให้ถึงเวลานั้นก่อน เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะมีการท้าชิงกันหรือไม่ ตอนนี้รู้เพียงแค่แคนดิเดตของพรรคก้าวไกล ต้องรอให้มีความชัดเจนก่อนดีกว่า
ส่วนการโหวตจะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่นั้น วราวุธ ระบุว่า จากที่ทำงานด้วยกันมา ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก จากความใกล้ชิด มองตาก็รู้ใจ ส่วนจะต้องเป็นมติพรรคหรือไม่นั้น วราวุธ กล่าวว่า เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส.แต่คงจะมีการพูดคุยหารือข้อดีข้อด้อย หลังจากที่มีความชัดเจนของแต่ละพรรคมาแล้ว
เมื่อถามว่าประเด็นความขัดแย้งประธานสภาจะทำให้เกิดการสลับขั้วตั้งรัฐบาลหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ตนตอบไม่ได้ พรรคชาติไทยพัฒนามีแค่ 10 คน นั่งรถตู้คันเดียวก็หมดแล้ว ดังนั้นคงต้องรอความชัดเจนจากพรรคใหญ่ว่าจะมีแนวทางกันอย่างไร คงคอยดูสถานการณ์ไปก่อนพรรคชาติไทยพัฒนาคงรอดูสถานการณ์ไปก่อน
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่ยังตกลงกันไม่ได้ เป็นแนวทางใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจะส่งผล ต่อการประชุมสภาฯในอนาคตหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าคงเป็นความท้าทายของประธานชั่วคราว อย่าง พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นนักการเมืองที่คร่ำหวอดมานาน มีประสบการณ์มีวุฒิภาวะมีความรู้ และได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย ตนเชื่อว่าเป็นสิ่งท้าทาย แต่มั่นใจว่า จะควบคุมการประชุมแรกให้ผ่านไปได้ด้วยดี
เมื่อถามว่า ขณะนี้ประเด็นประธานสภาฯดูเหมือนจะยืดเยื้อมากเกินไปหรือไม่ เพราะยังตกลงกันไม่ได้ วราวุธ กล่าวว่า จริงๆจะว่ายืดเยอะเกินไปหรือไม่ก็ไม่เชิง เพราะถ้าดูตามทรานเฟรมแล้ว สภาชุดนี้ ใช้เวลาเพียงแค่ 30 กว่าวันเท่านั้น ดังนั้นจะว่ายืดเยอะไปก็ไม่ถูก เพราะก่อนหน้านั้นยืดเยอะกว่านี้อีก ดังนั้นตนคิดว่าวันนี้ก็ไม่ได้ช้าเกินไป
เมื่อถามว่า ในวันนี้ประเมินว่าจะมีอะไรทำให้การเมืองสะดุดหรือไม่ วราวุธ มองว่า คงไม่มีอะไรทำให้การเมืองไทยสะดุด พอได้มีการเลือกประธานสภาและเลือกนายกฯ และฟอร์มรัฐบาลขึ้นมา ทุกอย่างก็จะเดินไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ที่ใช้ตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรกำหนดการเดินไปข้างหน้า รัฐบาลเป็นการบริหารประเทศ ก็คงไม่มีอะไรสะดุด
เมื่อถามว่า ประเด็นการพลิกขั้ว จะทำให้เกิดการชุมนุมขึ้นหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ตนตอบแทนหลายคนไม่ได้ แต่ทุกอย่างหลังการเลือกตั้ง มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น การพูดคุยกันก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรคที่จะทำงาน และคงไม่น่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น เพราะแต่ละพรรคก็คงจะเข้าใจถึงสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย ก็คงประคับประคองสถานการณ์การเมืองไทยให้ผ่านไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อถามว่า 14 ล้านเสียง เป็นเสียงข้างมากหรือไม่เพราะ ส.ว. มองว่าเป็นเสียงข้างน้อย วราวุธ กล่าวว่า 14 ล้านเสียง เป็นเสียงที่มาก และถือว่า เป็นเสียงที่เยอะที่สุด แต่ประเทศไทยมีประชากรอยู่ 66 ล้านคน มีผู้ลงคะแนน 50 กว่าล้าน คงต้องแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน ถ้าคิดว่า 14 ล้าน จาก 50 ล้านอาจจะไม่ใช่เสียงข้างมาก แต่ 14 ล้านเมื่อเทียบกับพรรคอื่น เป็นพรรคที่ได้คะแนนเยอะที่สุด ก็คิดได้ จริงๆต้องบอกว่าเหรียญทุกเหรียญมีสองด้าน ดังนั้น แล้วแต่ว่าเราจะมองจากด้านใด เก้าไก่อาจจะมองว่าตัวเองได้คะแนนมากที่สุด ก็ถูกต้อง แต่ทาง ส.ว. ก็มองเหรียญอีกด้านหนึ่ง แต่ก็เหรียญเดียวกัน แต่แนวทางการดำเนินงานจะเป็นอย่างไร เหรียญทุกเหรียญมีสองด้านเสมอ
เมื่อถามถึงแนวทางของพรรคชาติไทยพัฒนาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี วราวุธ กล่าวว่า ต้องหารือกันภายในพรรคก่อน และจะต้องมีความชัดเจนในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีว่าจะเป็นใคร
ส่วนกรณีที่ ส.ว.จะมาตรวจสอบคุณสมบัติ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เหมาะสมหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ตนคิดว่า แต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันไป อย่างเวลาออกกฎหมาย ก็ต้องผ่าน ส.ว.อีกครั้งหนึ่ง อาจจะเป็นมุมมองของการตรวจสอบ เช่นเดียวกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หาก ส.ว.มีความสงสัยคลางแคลงใจในประเด็นใดและคนใด ก็เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ว.แต่ละคน ในการนำเสนอข้อสังเกตต่างๆและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ มองว่าเป็นสิทธิ์ของ ส.ว.
เมื่อถามต่อว่า เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการตั้งข้อสงสัยถึงศักยภาพของแคนดิเดตนายกฯ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีการตั้งข้อสงสัย เป็นเรื่องปกติที่ว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องได้รับการส่องกล้องจุลทรรศน์ เพราะทุกคนให้ความสนใจ เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา หรือนายชวน หลีกภัย ก็จะได้รับการสองกล้องจุลทรรศน์จากสังคม และสาธารณชนอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ วราวุธ และ ส.ส.ของพรรค รายงานตัวเสร็จเรียบร้อยก็ได้เข้าไปสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พิพิธภัณฑ์รัฐสภา เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในวันสถาปนารัฐสภา ครบรอบ 91 ปี ซึ่งวราวุธ เปิดเผยว่า ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งการพร้อมใจผูกไนคไทสีชมพูนั้น แสดงถึงความเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา โดยเนคไทดังกล่าวเป็นผ้าทอลายขอ เพื่อส่งเสริมผ้าไทย ซึ่งได้ปักสัญลักษณ์ของพรรคลงไปบนเนคไท ทั้งนี้ วราวุธ ยังได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ‘โลโก้พรรคจริงๆอยู่ที่ตรงนี้’ พร้อมตบเบาๆไปที่หน้าอกข้างซ้าย ซึ่งหมายถึง ‘หัวใจ’
ส่วนการประชุมพรรคจะร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมหรือไม่นั้น วราวุธ กล่าวว่า ต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้ง เพราะในวันนี้ยังไม่เห็นความชัดเจน ก็ยังไม่มีจะประชุมหรือหารือกันไปก็ยังไม่มีแนวทาง
เมื่อถามถึงกรณีพรรคก้าวไกลเปิดตัว ปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือหมออ๋อง เป็นแคนดิเดตประธานสภาฯ นั้น วราวุธ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่มีความเห็นใดๆ และมองว่า พรรคก้าวไกลได้พิจารณาบุคคลที่เหมาะสมแล้ว ก็เป็นสิทธิ์ของทางพรรคที่จะนำเสนอแคนดิเดตประธานสภาในส่วนของพรรคก้าวไกล
เมื่อถามว่า พรรคชาติไทยพัฒนาจะใช้ดุลพินิจอย่างไรในการโหวตเลือกประธานสภาฯ วราวุธ กล่าวว่า ตนคิดว่ารอให้ถึงเวลานั้นก่อน เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะมีการท้าชิงกันหรือไม่ ตอนนี้รู้เพียงแค่แคนดิเดตของพรรคก้าวไกล ต้องรอให้มีความชัดเจนก่อนดีกว่า
ส่วนการโหวตจะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่นั้น วราวุธ ระบุว่า จากที่ทำงานด้วยกันมา ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก จากความใกล้ชิด มองตาก็รู้ใจ ส่วนจะต้องเป็นมติพรรคหรือไม่นั้น วราวุธ กล่าวว่า เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส.แต่คงจะมีการพูดคุยหารือข้อดีข้อด้อย หลังจากที่มีความชัดเจนของแต่ละพรรคมาแล้ว
เมื่อถามว่าประเด็นความขัดแย้งประธานสภาจะทำให้เกิดการสลับขั้วตั้งรัฐบาลหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ตนตอบไม่ได้ พรรคชาติไทยพัฒนามีแค่ 10 คน นั่งรถตู้คันเดียวก็หมดแล้ว ดังนั้นคงต้องรอความชัดเจนจากพรรคใหญ่ว่าจะมีแนวทางกันอย่างไร คงคอยดูสถานการณ์ไปก่อนพรรคชาติไทยพัฒนาคงรอดูสถานการณ์ไปก่อน
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่ยังตกลงกันไม่ได้ เป็นแนวทางใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจะส่งผล ต่อการประชุมสภาฯในอนาคตหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าคงเป็นความท้าทายของประธานชั่วคราว อย่าง พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ เป็นนักการเมืองที่คร่ำหวอดมานาน มีประสบการณ์มีวุฒิภาวะมีความรู้ และได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย ตนเชื่อว่าเป็นสิ่งท้าทาย แต่มั่นใจว่า จะควบคุมการประชุมแรกให้ผ่านไปได้ด้วยดี
เมื่อถามว่า ขณะนี้ประเด็นประธานสภาฯดูเหมือนจะยืดเยื้อมากเกินไปหรือไม่ เพราะยังตกลงกันไม่ได้ วราวุธ กล่าวว่า จริงๆจะว่ายืดเยอะเกินไปหรือไม่ก็ไม่เชิง เพราะถ้าดูตามทรานเฟรมแล้ว สภาชุดนี้ ใช้เวลาเพียงแค่ 30 กว่าวันเท่านั้น ดังนั้นจะว่ายืดเยอะไปก็ไม่ถูก เพราะก่อนหน้านั้นยืดเยอะกว่านี้อีก ดังนั้นตนคิดว่าวันนี้ก็ไม่ได้ช้าเกินไป
เมื่อถามว่า ในวันนี้ประเมินว่าจะมีอะไรทำให้การเมืองสะดุดหรือไม่ วราวุธ มองว่า คงไม่มีอะไรทำให้การเมืองไทยสะดุด พอได้มีการเลือกประธานสภาและเลือกนายกฯ และฟอร์มรัฐบาลขึ้นมา ทุกอย่างก็จะเดินไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ที่ใช้ตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรกำหนดการเดินไปข้างหน้า รัฐบาลเป็นการบริหารประเทศ ก็คงไม่มีอะไรสะดุด
เมื่อถามว่า ประเด็นการพลิกขั้ว จะทำให้เกิดการชุมนุมขึ้นหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ตนตอบแทนหลายคนไม่ได้ แต่ทุกอย่างหลังการเลือกตั้ง มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น การพูดคุยกันก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรคที่จะทำงาน และคงไม่น่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น เพราะแต่ละพรรคก็คงจะเข้าใจถึงสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย ก็คงประคับประคองสถานการณ์การเมืองไทยให้ผ่านไปได้อย่างราบรื่น
เมื่อถามว่า 14 ล้านเสียง เป็นเสียงข้างมากหรือไม่เพราะ ส.ว. มองว่าเป็นเสียงข้างน้อย วราวุธ กล่าวว่า 14 ล้านเสียง เป็นเสียงที่มาก และถือว่า เป็นเสียงที่เยอะที่สุด แต่ประเทศไทยมีประชากรอยู่ 66 ล้านคน มีผู้ลงคะแนน 50 กว่าล้าน คงต้องแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน ถ้าคิดว่า 14 ล้าน จาก 50 ล้านอาจจะไม่ใช่เสียงข้างมาก แต่ 14 ล้านเมื่อเทียบกับพรรคอื่น เป็นพรรคที่ได้คะแนนเยอะที่สุด ก็คิดได้ จริงๆต้องบอกว่าเหรียญทุกเหรียญมีสองด้าน ดังนั้น แล้วแต่ว่าเราจะมองจากด้านใด เก้าไก่อาจจะมองว่าตัวเองได้คะแนนมากที่สุด ก็ถูกต้อง แต่ทาง ส.ว. ก็มองเหรียญอีกด้านหนึ่ง แต่ก็เหรียญเดียวกัน แต่แนวทางการดำเนินงานจะเป็นอย่างไร เหรียญทุกเหรียญมีสองด้านเสมอ
เมื่อถามถึงแนวทางของพรรคชาติไทยพัฒนาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี วราวุธ กล่าวว่า ต้องหารือกันภายในพรรคก่อน และจะต้องมีความชัดเจนในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีว่าจะเป็นใคร
ส่วนกรณีที่ ส.ว.จะมาตรวจสอบคุณสมบัติ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เหมาะสมหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ตนคิดว่า แต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันไป อย่างเวลาออกกฎหมาย ก็ต้องผ่าน ส.ว.อีกครั้งหนึ่ง อาจจะเป็นมุมมองของการตรวจสอบ เช่นเดียวกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หาก ส.ว.มีความสงสัยคลางแคลงใจในประเด็นใดและคนใด ก็เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ว.แต่ละคน ในการนำเสนอข้อสังเกตต่างๆและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ มองว่าเป็นสิทธิ์ของ ส.ว.
เมื่อถามต่อว่า เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ วราวุธ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการตั้งข้อสงสัยถึงศักยภาพของแคนดิเดตนายกฯ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีการตั้งข้อสงสัย เป็นเรื่องปกติที่ว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องได้รับการส่องกล้องจุลทรรศน์ เพราะทุกคนให้ความสนใจ เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา หรือนายชวน หลีกภัย ก็จะได้รับการสองกล้องจุลทรรศน์จากสังคม และสาธารณชนอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ วราวุธ และ ส.ส.ของพรรค รายงานตัวเสร็จเรียบร้อยก็ได้เข้าไปสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พิพิธภัณฑ์รัฐสภา เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในวันสถาปนารัฐสภา ครบรอบ 91 ปี ซึ่งวราวุธ เปิดเผยว่า ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งการพร้อมใจผูกไนคไทสีชมพูนั้น แสดงถึงความเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา โดยเนคไทดังกล่าวเป็นผ้าทอลายขอ เพื่อส่งเสริมผ้าไทย ซึ่งได้ปักสัญลักษณ์ของพรรคลงไปบนเนคไท ทั้งนี้ วราวุธ ยังได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ‘โลโก้พรรคจริงๆอยู่ที่ตรงนี้’ พร้อมตบเบาๆไปที่หน้าอกข้างซ้าย ซึ่งหมายถึง ‘หัวใจ’