ชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายบางช่วงบางตอน ในการประชุมร่วมรัฐสภา วาระโหวตนายกรัฐมนตรี ว่า พรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนทางการเมืองและอุดมการณ์ชัดเจนตลอด 77 ปี ซึ่งชัดเจนว่าไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่ผลักดันให้มีการแก้ไขมาตรา 112 เด็ดขาด พร้อมระบุว่า แคดดิเดตนายกฯ ได้ประกาศผ่านรายการโทรทัศน์ว่า มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่สมาชิกบางท่านในสังกัดเดียวกันกลับประกาศเปลี่ยนวันชาติ บางคนผลักดันเดินหน้าแก้ไขมาตรา 112
“ขอถามหน่อย วันนี้ประเทศชาติเจอวิกฤตเรื่องนี้ หรือเรื่องอะไรกันแน่ เคยคิดทบทวนกันหรือไม่ว่า ถ้าท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะแก้ไขปัญหาสิ่งใดให้ประเทศชาติ เคยทราบหรือไม่ว่าประชาชนต้องเจอกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ปัญหายาเสพติดที่เพิ่มขึ้นรุนแรงทุกวัน ท่านไม่คิดแก้ไขปัญหานี้เลย แต่คิดจะไปลดโทษกฎหมายกับบุคคลที่ไม่จงรักภักดีต่อชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างนั้นหรือ นี่หรือคนที่จะประกาศเป็นนายกฯ คนที่ 30 วันดีคืนดีก็มีคนในพรรคบอกว่าจะสนับสนุนให้มีการแบ่งแยกดินแดน” ชัยชนะ ระบุ
ชัยชนะ กล่าวอีกว่า เสียงข้างมากของประชาชนคือ 40 ล้านเสียง แต่วันนี้ท่านเหมารวมทั้งหมดเป็นว่า ท่านได้รับฉันทามติจากพี่น้องประชาชนมา อีกทั้งการอ้างว่าต้องเลือกพรรคการเมืองที่ได้คะแนนที่หนึ่งจากประชาชน และทุกพรรคการเมืองต้องโหวตให้นั้นเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะการที่จะโหวตให้ใครเป็นนายกฯ เป็นสิทธิเสรีภาพของสมาชิกรัฐสภา
“บางครั้งไปคุกคามทางสื่อโซเชียลฯ เรียกร้องให้คนนั้นคนนี้ต้องโหวต เรียกร้องประชาธิปไตยมากนัก แต่ไม่ยอมรับความเห็นต่างของพรรคการเมืองอื่นหรือกลุ่มที่เห็นต่างเลย แล้ววันนี้ จะบอกว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ท่านใช้สโลแกน ประเทศไทยต้องเปลี่ยน ถามว่าจะเปลี่ยนไปทิศทางไหน แค่เริ่มต้นก็จะแก้ไขมาตรา 112 แล้ว ผมแอบดีใจที่ในเอ็มโอยูของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 แต่ถ้าพรรคการเมืองที่ท่านสังกัดอยู่ จะยื่นแก้ไขในเรื่องนี้ จะบอกว่าเป็นเรื่องของพรรคการเมืองไม่ได้ ท่านอย่าโยนปัญหานี้ อย่าบ่ายเบี่ยงจุดยืนของพรรคท่าน สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์กังวลมาโดยตลอด” ชัยชนะ กล่าว
ชัยชนะ ย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ยึดหลักประชาธิปไตยมาโดยตลอด เรามีเอกภาพในการตัดสินใจมาตลอด ฉะนั้น การที่เราได้รับฟังเหตุผลตลอดระยะเวลาก่อนมาถึงวันนี้ เราทราบดีว่าท่านมีจุดยืนอย่างไร จึงไม่สามารถสนับสนุน พิธา เป็นนายกฯ ได้ เพราะมีจุดยืนต่างกับเรา เรามีความรักชาติ รักสถาบันพระมหากษัตริย์
“ใครก็ตามที่คิดจะจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 25 ท่าน เราจะออกไปต่อสู้และต่อต้านเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งนี้ให้ถึงที่สุด” ชัยชนะ กล่าว
“ขอถามหน่อย วันนี้ประเทศชาติเจอวิกฤตเรื่องนี้ หรือเรื่องอะไรกันแน่ เคยคิดทบทวนกันหรือไม่ว่า ถ้าท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะแก้ไขปัญหาสิ่งใดให้ประเทศชาติ เคยทราบหรือไม่ว่าประชาชนต้องเจอกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ปัญหายาเสพติดที่เพิ่มขึ้นรุนแรงทุกวัน ท่านไม่คิดแก้ไขปัญหานี้เลย แต่คิดจะไปลดโทษกฎหมายกับบุคคลที่ไม่จงรักภักดีต่อชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างนั้นหรือ นี่หรือคนที่จะประกาศเป็นนายกฯ คนที่ 30 วันดีคืนดีก็มีคนในพรรคบอกว่าจะสนับสนุนให้มีการแบ่งแยกดินแดน” ชัยชนะ ระบุ
ชัยชนะ กล่าวอีกว่า เสียงข้างมากของประชาชนคือ 40 ล้านเสียง แต่วันนี้ท่านเหมารวมทั้งหมดเป็นว่า ท่านได้รับฉันทามติจากพี่น้องประชาชนมา อีกทั้งการอ้างว่าต้องเลือกพรรคการเมืองที่ได้คะแนนที่หนึ่งจากประชาชน และทุกพรรคการเมืองต้องโหวตให้นั้นเป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะการที่จะโหวตให้ใครเป็นนายกฯ เป็นสิทธิเสรีภาพของสมาชิกรัฐสภา
“บางครั้งไปคุกคามทางสื่อโซเชียลฯ เรียกร้องให้คนนั้นคนนี้ต้องโหวต เรียกร้องประชาธิปไตยมากนัก แต่ไม่ยอมรับความเห็นต่างของพรรคการเมืองอื่นหรือกลุ่มที่เห็นต่างเลย แล้ววันนี้ จะบอกว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ท่านใช้สโลแกน ประเทศไทยต้องเปลี่ยน ถามว่าจะเปลี่ยนไปทิศทางไหน แค่เริ่มต้นก็จะแก้ไขมาตรา 112 แล้ว ผมแอบดีใจที่ในเอ็มโอยูของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 แต่ถ้าพรรคการเมืองที่ท่านสังกัดอยู่ จะยื่นแก้ไขในเรื่องนี้ จะบอกว่าเป็นเรื่องของพรรคการเมืองไม่ได้ ท่านอย่าโยนปัญหานี้ อย่าบ่ายเบี่ยงจุดยืนของพรรคท่าน สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์กังวลมาโดยตลอด” ชัยชนะ กล่าว
ชัยชนะ ย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ยึดหลักประชาธิปไตยมาโดยตลอด เรามีเอกภาพในการตัดสินใจมาตลอด ฉะนั้น การที่เราได้รับฟังเหตุผลตลอดระยะเวลาก่อนมาถึงวันนี้ เราทราบดีว่าท่านมีจุดยืนอย่างไร จึงไม่สามารถสนับสนุน พิธา เป็นนายกฯ ได้ เพราะมีจุดยืนต่างกับเรา เรามีความรักชาติ รักสถาบันพระมหากษัตริย์
“ใครก็ตามที่คิดจะจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 25 ท่าน เราจะออกไปต่อสู้และต่อต้านเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งนี้ให้ถึงที่สุด” ชัยชนะ กล่าว
