‘ก้าวไกล’ เตรียมเสนอญัตติด่วนให้มีการออกเสียงประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญ เชื่อ เป็นกระดุมเม็ดแรกนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับตามฉันทามติของประชาชน 'พริษฐ์' ย้ำ มติ สส.ก้าวไกล ไม่โหวตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ชี้ ไม่ว่าจะโหวตไม่เห็นด้วย หรือ งดออกเสียงผลลัพธ์ก็เท่ากัน
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงเสนอญัตติด่วนเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบ และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยพริษฐ์ระบุว่า ภาพรวมที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลยืนยันมาตลอดว่า ภารกิจสำคัญคือการฟื้นฟูประชาธิปไตยและคืนความปกติให้กับการเมืองไทย ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งพรรคก้าวไกลมองว่า ขาดความชอบธรรม ทั้งที่มาและกระบวนการนำพาประเทศไทยสู่วิกฤตการเมืองในปัจจุบัน
ดังนั้น จะเสนอให้จัดทำประชามติสอบถามความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งหากผลของประชามติออกมาแล้ว จะทำให้ทุกฝ่ายไม่สามารถขัดขวางเจตจำนงของประชาชนได้ ถือเป็นกระดุมเม็ดแรกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ต้องเร่งดำเนินการให้สำเร็จ
สำหรับรายละเอียดในการจัดทำประชามติอยู่ที่ตัวคำถาม ดังนั้น หากต้องการให้การทำประชามตินำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และสามารถสะท้อนฉันทามติของสังคมได้อย่างแท้จริงนั้น พรรคก้าวไกลจึงขอเสนอคำถามที่จะใช้ในการทำประชามติ คือท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าประเทศไทยควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ แทนที่รัฐธรรมนูญปี 2560 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร.จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
ทั้งนี้ มีเหตุผล 4 ข้อที่เชื่อว่า คำถามดังกล่าวจะนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือเป็นการถามถึงหลักการสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ การเสนอให้เลือกตั้ง สสร.โดยตรง เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง เชื่อว่าเป็นคำถามที่เข้าใจง่าย-ไม่ชี้นำ และ เป็นคำถามที่มีการเห็นชอบจากสภาฯ มาแล้วเมื่อปี 2565 ไม่ใช่เรื่องใหม่
พร้อมกันนี้ ยังขอทุกฝ่ายอย่ากังวลว่า การแก้ไขธรรมนูญทั้งฉบับในครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการแตะต้องหมวด 1 หมวด 2 เพราะที่ผ่านมาก็มีการแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 อยู่แล้ว ซึ่งตามหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะต้องไม่กระทบต่อระบบการปกครองตามหลักประชาธิปไตย
พริษฐ์ ยังระบุถึงกรณีที่สส.พรรคก้าวไกลมีมติไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยว่า สาระสำคัญในการแถลงของชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลเมื่อวานนี้ คือมติที่สส.พรรคก้าวไกล ไม่เห็นด้วยกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าทิศทางการโหวตจะลงมติไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง เพราะผลลัพธ์ก็คือไม่สนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยกรณีญัตติเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีซ้ำนั้น ต้องรอดูความชัดเจนจากศาลธรรมนูญก่อน หลังจากนั้นพรรคก้าวไกลจะแถลงถึงท่าทีในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลมีหลักการเรื่องการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า ควรใช้ช่องทางของสภาฯ ในการพิจารณาว่าทำได้หรือไม่ได้ ซึ่งเป็นหลักการที่พรรคก้าวไกลยืนยันมาตลอด ไม่ใช่เฉพาะการเสนอชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหลักการที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ จึงเห็นว่า ควรใช้พื้นที่ของรัฐสภาในการทบทวนเรื่องการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีซ้ำได้หรือไม่
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงเสนอญัตติด่วนเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบ และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยพริษฐ์ระบุว่า ภาพรวมที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลยืนยันมาตลอดว่า ภารกิจสำคัญคือการฟื้นฟูประชาธิปไตยและคืนความปกติให้กับการเมืองไทย ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งพรรคก้าวไกลมองว่า ขาดความชอบธรรม ทั้งที่มาและกระบวนการนำพาประเทศไทยสู่วิกฤตการเมืองในปัจจุบัน
ดังนั้น จะเสนอให้จัดทำประชามติสอบถามความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งหากผลของประชามติออกมาแล้ว จะทำให้ทุกฝ่ายไม่สามารถขัดขวางเจตจำนงของประชาชนได้ ถือเป็นกระดุมเม็ดแรกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ต้องเร่งดำเนินการให้สำเร็จ
สำหรับรายละเอียดในการจัดทำประชามติอยู่ที่ตัวคำถาม ดังนั้น หากต้องการให้การทำประชามตินำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และสามารถสะท้อนฉันทามติของสังคมได้อย่างแท้จริงนั้น พรรคก้าวไกลจึงขอเสนอคำถามที่จะใช้ในการทำประชามติ คือท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าประเทศไทยควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ แทนที่รัฐธรรมนูญปี 2560 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร.จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
ทั้งนี้ มีเหตุผล 4 ข้อที่เชื่อว่า คำถามดังกล่าวจะนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือเป็นการถามถึงหลักการสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ การเสนอให้เลือกตั้ง สสร.โดยตรง เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง เชื่อว่าเป็นคำถามที่เข้าใจง่าย-ไม่ชี้นำ และ เป็นคำถามที่มีการเห็นชอบจากสภาฯ มาแล้วเมื่อปี 2565 ไม่ใช่เรื่องใหม่
พร้อมกันนี้ ยังขอทุกฝ่ายอย่ากังวลว่า การแก้ไขธรรมนูญทั้งฉบับในครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการแตะต้องหมวด 1 หมวด 2 เพราะที่ผ่านมาก็มีการแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 อยู่แล้ว ซึ่งตามหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะต้องไม่กระทบต่อระบบการปกครองตามหลักประชาธิปไตย
พริษฐ์ ยังระบุถึงกรณีที่สส.พรรคก้าวไกลมีมติไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยว่า สาระสำคัญในการแถลงของชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลเมื่อวานนี้ คือมติที่สส.พรรคก้าวไกล ไม่เห็นด้วยกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าทิศทางการโหวตจะลงมติไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง เพราะผลลัพธ์ก็คือไม่สนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยกรณีญัตติเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีซ้ำนั้น ต้องรอดูความชัดเจนจากศาลธรรมนูญก่อน หลังจากนั้นพรรคก้าวไกลจะแถลงถึงท่าทีในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลมีหลักการเรื่องการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า ควรใช้ช่องทางของสภาฯ ในการพิจารณาว่าทำได้หรือไม่ได้ ซึ่งเป็นหลักการที่พรรคก้าวไกลยืนยันมาตลอด ไม่ใช่เฉพาะการเสนอชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหลักการที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ จึงเห็นว่า ควรใช้พื้นที่ของรัฐสภาในการทบทวนเรื่องการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีซ้ำได้หรือไม่
