‘ก้าวไกล’ เดินหน้าญัตติ ทบทวนเสนอชื่อซ้ำได้

16 ส.ค. 2566 - 08:37

  • ‘ก้าวไกล’ เดินหน้ายื่นญัตติทบทวนการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีซ้ำได้

  • เชื่อจะเป็นประโยชน์กับทุกพรรค

  • เผย ‘พิธา’ ไม่ยื่นศาล รธน.แน่ อยากเห็นรัฐสภาทำสิ่งที่ถูกต้อง ห่วงสร้างบรรทัดฐานที่ผิดให้รัฐสภา

Moveforword-Party-will-offer-topic-name-again-and-said-that-Pita-not-filed-with-the-court.psd-SPACEBAR-Thumbnail
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ปมเสนอชื่อนายกฯ ซ้ำว่า จากคำวินิจฉัยของศาลที่ไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามมาตรา 213 ว่าการกระทำที่มีการลงมติไม่ให้มีการเสนอชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซ้ำว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้น จึงหมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้พิจารณาในเนื้อหาสาระในข้อเท็จจริง จึงได้ตีตก เนื่องจากคนที่ไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ไม่ได้เป็นผู้ที่มีสิทธิในการที่จะร้อง ซึ่งเป็นเรื่องเทคนิคและกระบวนการ  

พรรคก้าวไกลได้เห็นในเรื่องนี้และยืนยันมาโดยตลอดว่า กรณีแบบนี้รัฐสภาควรจะว่ากันเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้องค์กรภายนอกอย่างศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา อะไรที่ไม่ถูกต้องที่ทำผิดไป โดยหลักการแล้วรัฐสภาของเราก็มีอำนาจในการแก้ไขปรับปรุง นั่นจึงเป็นที่มาว่า ในการพิจารณานายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ ครั้งที่ 2 เราจึงมีมติที่จะเสนอญัตติ เพื่อให้รัฐสภาได้มีการทบทวนว่าการที่รัฐสภาเคยมีมติในญัตติที่เสนอชื่อพิธาซ้ำไม่ได้ เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  

ดังนั้น ในโอกาสที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป ก็ต้องรอประธานรัฐสภา ในการกำหนดวาระการประชุม พรรคก้าวไกลก็ยืนยันที่จะเสนอญัตตินี้ต่อไป และหวังว่ากระบวนการนี้จะทำให้รัฐสภาทำสิ่งที่ถูกต้อง และยืนยันว่าไม่ใช่การตีรวนทางการเมือง  

“เราไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้แล้ว แต่เราหวังว่า การเสนอญัตติตรงนี้ จะทำให้รัฐสภาได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และยืนยันว่าสถานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่ว่าใครก็แล้วแต่เป็นสถานะตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เสนอกันไปแล้วก็ไม่ผ่าน แล้วจะมาบอกว่า สถานะนั้นไม่มีอีกแล้ว การคิดแบบ นี้เป็นการเล่นการเมือง ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานการพิจารณาตามข้อกฎหมาย และยืนยันว่า การเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นพิธาหรือคนอื่นๆ รอบนี้เสนอไม่ผ่านรอบต่อไปก็ยังจะเสนอได้ ทั้งนี้ก็ต้องมีกระบวนการเพื่อให้รัฐสภาได้ทบทวนต่อไป” รังสิมันต์กล่าว 

รังสิมันต์ ยังยืนยันว่า ไม่ยื่นเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องดังกล่าวแน่นอน เพราะกรณีของพรรคก้าวไกล แน่นอนว่าโดนเป็นเป้า เพื่อให้ไม่ได้เสนอชื่อนายกฯ ซ้ำ พร้อมย้ำว่า ต้องการที่จะให้กระบวนการของรัฐสภาเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นก็จะไม่เห็นพิธายื่นคำร้องเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน  

ส่วนหากมีการเสนอญัตตินี้เข้าไปอีกจะมีเสียงสนับสนุนพอหรือไม่ รังสิมันต์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องของหลักการ การเสนอเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการเสนอเพื่อตัวเอง ไม่ได้เสนอเพื่อให้นายพิธากลับมา มีโอกาสเป็น แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพราะขณะนี้ พิธาไม่ได้ยืนอยู่ในจุดนั้นแล้ว แต่การเสนอแบบนี้เป็นหลักการที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และไม่ว่าแคนดิเดตจะชื่ออะไร ก็จะได้ประโยชน์จากการเสนอญัตติของพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น  

“เว้นเสียแต่ว่ามีบางกลุ่มบางพวก ที่คิดเอาไว้แล้ว ที่จะต้องมีการวางสนุ๊ก วางหมากในการเสนอนายกฯ ให้เกิดขึ้นได้ครั้งเดียว มี 2 กรณีคือ พรรคก้าวไกลไม่ผ่าน และพรรคการเมืองอื่นก็ไม่ผ่าน แล้วก็หวังว่าตัวเองจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ ส่วนกรณีที่ 2 คือการปูทางสู่นายกคนนอกซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะต้องใช้เสียงโหวต 2 ใน 3 และการเสนอชื่อนายกก็กำหนดไว้ให้แค่ครั้งเดียว ไม่ใช่เจตนาที่ดีแน่ๆ” รังสิมันต์ กล่าว 

รังสิมันต์ ยังยอมรับว่า สถานะของญัตติดังกล่าวนี้ยังคงมีปัญหา แต่ยืนยันเป็นการเสนอญัตติที่ถูกต้อง แม้ยังคงไม่มีความชัดเจนในเรื่องสถานะของญัตติ ดังนั้นโดยหลักต้องมีการพิจารณา ไม่ใช่ให้อำนาจประธานวินิจฉัย ซึ่งก็ไม่ได้อ้างข้อกฎหมายเลย ทั้งนี้เราก็พร้อมรับฟังว่า การเสนอญัติดังกล่าวจะขัดต่ออะไร ซึ่งประธานก็แค่บอกว่าให้รอคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ เพราะยังอยู่ในกระบวนการชั้นศาล ซึ่งก็ไม่ได้มีข้อกฎหมายที่ระบุว่าระหว่างรอศาล แล้วทำในเรื่องของการทบทวนไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อกฎหมาย ตนเข้าใจว่า ประธานมีเจตนาหวังดี ตนมองว่าการรอต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ชัดเจนและไม่ถูกต้อง สร้างความเสียหายให้กลับบ้านเมือง  

“การเสนอชื่อซ้ำไม่ได้ เราก็จะเริ่มห่างไกล จากการมีรัฐบาลที่สะท้อนเสียง หรือประชาชนไปเรื่อยๆ และสุดท้ายเราก็จะได้หน้าตาของรัฐบาล ที่ไม่ใช่รัฐบาลที่ประชาชนต้องการ แบบนี้ทำลายทั้งประชาธิปไตย ทำลายการเมืองแบบรัฐสภา ทำลายความหวังของพี่น้องประชาชนอย่างรุนแรง” รังสิมันต์ กล่าว  

สำหรับเรื่องนี้จะเป็นบรรทัดฐานต่อไปหรือไม่ รังสิมันต์ กล่าวว่า นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมตนถึงได้เสนอให้มีการทบทวน เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นบรรทัดฐาน เพราะการเสนอชื่อบุคคลในรัฐสภาไม่ได้มีแค่นายกรัฐมนตรี ยังมีอีกหลายกรณีและใหญ่มาก จึงเห็นว่าอย่าสร้างบรรทัดฐานแบบนี้เลย จึงขอให้รัฐสภาได้ทบทวนอย่าสร้างบรรทัดฐานที่ผิดต่อไปเลย ทั้งนี้ต้องรอคุยกับประธานสภา ซึ่งปกติประธานสภาจะนัดพรรคการเมืองพูดคุยหารือ เบื้องต้นจากการประชุมรัฐสภาครั้งที่ผ่านมาตนเองก็เสนอญัตติ ซึ่งรัฐสภาต้องพิจารณาญัตติของตนก่อน แต่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าคำวินิจฉัยของประธานรัฐสภาในวันนั้นมีสถานะอย่างไร ซึ่งเราจะต้องนำเรื่องนี้ไปคุยกับประธานสภาว่ามีข้อสรุปอย่างไร ซึ่งในความเห็นของพวกเราเชื่อว่าญัตติดังกล่าว เป็นญัตติที่ถูกต้องแล้ว แต่เข้าใจว่าทุกฝ่ายอาจมีความเข้าใจไม่ตรงกัน จึงต้องมีการพูดคุย  

ส่วนการเสนอญัตติจะทำให้มติครั้งที่แล้วเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่นั้น รังสิมันต์ กล่าวว่า “คงต้องลองดู มองว่า รอบที่แล้วจุดประสงค์ คือต้องการทำลายพรรคก้าวไกล ต้องการที่จะเล่นงานพิธา แต่เราจะเผาบ้านเพื่อไล่หนูเหรอ ดังนั้นวันนี้คุณได้ทุกอย่างไปหมดแล้ว คำถามคือคุณจะเผาบ้านต่อไปเพื่ออะไร ดังนั้นการกลับมาสู่หลักการที่ถูกต้องหวังว่าจะทำให้กลับมาได้ ซึ่งตนตอบมาได้ว่าสุดท้ายที่ประชุมจะว่าอย่างไร” 

ส่วนที่พรรคก้าวไกลขอขยายเวลาส่งคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีนโยบายแก้ไข ม.112 ออกไปอีก 30 วันว่า ข้อเท็จจริงทางผู้ร้องมีการยื่นเอกสารเพิ่มเติม ดังนั้นเราจึงต้องเอาเอกสารตรงนี้มาพิจารณาเพื่อที่จะได้เขียนคำชี้แจง เพราะมีรายละเอียดที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งการขยายระยะเวลาตรงนี้จะเป็นคุณหรือเป็นโทษก็คงอยู่ที่กระบวนการและมีโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจอย่างไร พร้อมยืนยันว่า เราทำถูกต้องทุกอย่างในการเสนอนโยบายไปที่กกต. แต่เป็นปัญหาเพราะเราดันได้ที่ 1 ถ้าเราไม่ได้ที่ 1 ไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล กระบวนการกลั่นแกล้งใช้นิติสงครามอย่างที่ทำกันอยู่ก็คงไม่มาถึงจุดนี้กัน เพราะมั่นใจในพยานหลักฐานและการต่อสู้คดี จึงยังไม่กังวลว่าจะมีการยึดพรรค ยังมั่นใจว่ากระบวนการที่ทำมาเป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนด

“112 เคยมีการแก้ แก้มาโดยตลอด ล่าสุดคือคณะรัฐประหาร ถ้าที่ผ่านมาการแก้ 112 ทำได้ก็อยากให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วย ว่า เจตนาของพวกเราพยายามใช้กระบวนการปกติในการแก้กฎหมาย ไม่มีอะไรเลย” รังสิมันต์ กล่าว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์