





นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค แถลงผลการหารือร่วมกับพรรคก้าวไกลและ 8 พรรคการเมืองว่า เริ่มต้นใหม่ ร่วมผ่าทางตัน หาทางออกให้ประเทศเนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ได้จับมือร่วมกับ พรรคการเมือง อีก 6 พรรค รวมเสียงได้ 312 เสียง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ และเสนอคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้ง 8 พรรคมีข้อสรุปภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีความเห็นอย่างชัดเจนจากพรรคเพื่อไทย ยึดมั่นในการมีสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศและไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาได้ โดยมีเพียง 324 เสียงจากที่ต้องการถึง 376 เสียง ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้สนับสนุนพรรคก้าวไกลอย่างเต็มความสามารถทั้งการอภิปราย และยกมือสนับสนุน 141 เสียง แต่เนื่องจากปรากฏเงื่อนไขของพรรคการเมืองอื่นๆ และสมาชิกวุฒิสภา ไม่ยอมรับนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล โดยพรรคก้าวไกลรับทราบท่าทีเหล่านี้ แต่ยืนยันไม่ปรับเปลี่ยนนโยบาย จึงเป็นการแน่ชัดว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล จะไม่สามารถผ่านการลงมติเห็นชอบจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งได้
ดังนั้น ที่ประชุม 8 พรรคร่วม จึงมีมติส่งมอบภารกิจแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทย โดยเห็นชอบแนวทางให้พรรคเพื่อไทย หาเสียงสนับสนุนทั้งจากพรรคการเมืองนอกกลุ่มพรรคร่วมเดิม และสมาชิกวุฒิสภาได้
เมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ พรรคเพื่อไทยจึงเดินหน้าเพื่อหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติมทั้งจาก ส.ว. และ ส.ส. โดยการเชิญหลายพรรคการเมืองเข้าหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย และส่งตัวแทนรับฟังความคิดเห็นสมาชิกวุฒิสภาทั้งเป็นกลุ่มและรายบุคคล พบว่านโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังคงเป็นเงื่อนไขหลัก ขณะที่บางพรรคและบางคนแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งที่จะไม่สนับสนุนการร่วมรัฐบาลของพรรคก้าวไกลในทุกกรณี
ในสถานการณ์เช่นนี้ พรรคเพื่อไทย ได้ปรึกษาหารือกับพรรคก้าวไกลขอถอนตัวจากการร่วมมือกันและ เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมใหม่ เสนอชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและเศรษฐา ขอยืนยันชัดเจนว่า เราจะไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วม พรรคเพื่อไทยจะใช้ความพยายามรวบรวมเสียง ให้เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเหมาะสม และพรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านและยืนยันจะทำงานการเมืองในมิติใหม่ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชน ในภารกิจที่สำคัญ ดังนี้
1.เราจะผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอันเป็นต้นเหตุของความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ และก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ของประเทศ โดยกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยเริ่มจากมติ ครม.ในการประชุมครั้งแรก ให้มีการทำประชามติ และจัดตั้ง สสร.ให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ รัฐบาลจะคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกตั้งใหม่ภายใต้กรอบกติกาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
2. นโยบายที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมได้นำเสนอต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน อาทิ กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายสุราก้าวหน้า การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับเป็นระบบสมัครใจ ฯลฯ ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เป็นต้น ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะผลักดันร่วมกับพรรคร่วมเพื่อให้นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนดำเนินการได้ประสบความสำเร็จ
พรรคเพื่อไทย ขอแสดงความจริงใจต่อเพื่อนมิตรทุกพรรคการเมือง และสมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งพี่น้องประชาชนว่า นี่คือแนวทางที่จะรักษาสถาบันสำคัญของชาติให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งประเทศ และช่วยผลักดันความต้องการของประชาชน ภายใต้ข้อจำกัดและเส้นทางที่ยากลำบากนี้ไว้ได้ เพื่อให้ภารกิจนำพาประเทศพ้นวิกฤต สร้างสรรค์ประชาธิปไตย แก้ไขความขัดแย้ง คืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ปลดพันธนาการจากกลไกที่ไม่ปกติให้คืนสู่ความปกติ และใช้ประสบการณ์ และความสามารถของบุคลากรของพรรคเพื่อไทยเร่งแก้วิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนโดยเร็ว ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งเป็นกติกาสูงสุดจากอำนาจประชาชน
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า บรรยากาศพูดคุยเป็นไปด้วยดี ทางพรรคก้าวไกลต้องการความชัดเจนจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคก้าวไกลเข้าใจเหตุผล แต่ขอสรุปให้ชัดว่าไม่ใช่การบอกเลิกกัน แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องชี้ให้เห็นถึงเหตุผลที่ต้องแยกกันจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคก้าวไกล
เมื่อถามถึงพรรคร่วมรัฐบาลใหม่มีพรรคไหนบ้าง และพรรคก้าวไกลจะโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ พรรคพท.หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราได้คุยกับพรรคก้าวไกล โดยขอให้เป็นเอกสิทธิ์สส.ที่จะลงคะแนนให้กับพรรคพท. โดยเราไม่ได้ร้องขอ จะโหวตหรือไม่โหวตให้เราก็ได้ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลใหม่จะขอแจ้งให้ทราบในวันที่ 3 ส.ค.
ส่วน สว.จะโหวตให้พท.หรือไม่นั้น จากการแถลงวันนี้และแนวทางที่ชัดเจนที่เราแสดงเจตนารมณ์ ข้อกังวลของ สส.และ สว. เราเชื่อว่า ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว เราลดเงื่อนไขทั้งหมด น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่ สว.จะโหวตให้ความเห็นชอบ
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าพท.จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในการเสนอนายกฯ คาดว่าจะได้เสียงสนับสนุนครบ จากนั้นเราจะตั้งรัฐบาล ถ้าจะให้รัฐบาลเข้มแข็งควรมีเสียงเกิน 300 เสียงขึ้นไป แต่ด้วยข้อจำกัดขณะนี้ เราจะหาเสียงสนับสนุนให้ได้มากที่สุด เชื่อว่าการโหวตนายกฯวันที่ 4 ส.ค.จะจบด้วยการได้นายกฯ ในวันดังกล่าวทั้งนี้ ส่วนที่ สว.ต้องการให้เศรษฐาแสดงวิสัยทัศน์นั้น การแสดงวิสัยทัศน์ใช้เฉพาะตำแหน่งประธานสภาฯ แต่ข้อบังคับการเลือกนายกฯ ไม่ได้ระบุว่า จะต้องแสดงวิสัยทัศน์ เท่าที่คุยกับเศรษฐาก็พร้อมจะตอบทุกข้อสงสัย แต่ด้วยความที่เศรษฐาไม่เป็น สส.และถ้าเข้าสภาฯ ไปอาจจะมีประเด็นที่คาดไม่ถึง จึงขอไม่เข้าไปในที่ประชุม แต่หากมีอะไรที่พาดพิง สส.ของพรรคพท.พร้อมลุกขึ้นชี้แจงแทน
เมื่อถามว่า จะไม่มีพรรคสองลุงเข้าร่วมรัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขอให้รอความชัดเจนในวันที่ 4 ส.ค.และมั่นใจว่าเราจะตอบคำถามสังคมในทุกข้อสงสัย
ด้านภูมิธรรม กล่าวกรณีแกนนำพรรคก้าวไกลวิพากษ์วิจารณ์พรรคพท.ประวิงเวลา ไม่เรียกประชุมพรรคร่วมเสียทีว่า ไม่ใช่การประวิงเวลา แต่ที่ช้าเพราะเราถูกร้องขอจากแกนนำพรรคก้าวไกล ให้รอถึง 23.00 น.คืนวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเรารอถึงเที่ยงคืนของวันที่ 1 ส.ค. แต่พรรคก้าวไกลก็ไม่มีการติดต่อกลับมา เราจึงดำเนินการตามแนวทางของเราตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. โดยเราหารือกับพรรคก้าวไกลมาตลอด แต่แกนนำพรรคก้าวไกลอาจจะมีปัญหาการสื่อสารภายในกับสมาชิกทั้งนี้ เราได้โทรศัพท์ชี้แจงพรรคร่วมที่เหลือแล้ว ว่าเราต้องตั้งรัฐบาลเพื่อคลี่คลายวิกฤติที่เกิดขึ้น
“การตกลงกันครั้งนี้ ระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ไม่ใช่การเกี้ยเซี้ยะทางการเมือง แต่เป็นการต่างคนต่างทำหน้าที่โดยไม่มีก้าวไกลร่วมตั้งรัฐบาลด้วย ส่วนนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชน เราพร้อมร่วมผลักดันไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยคือการแก้ไขมาตรา 112 โดยเราจะทำหน้าที่ใช้ประสบการณ์ของเราแก้วิกฤติเศรษฐกิจ การเมืองให้เข้าสู่ระบบปกติทั้งหมด” ภูมิธรรม กล่าว
ภูมิธรรม กล่าวอีกว่า การประสานงานหลังจากนี้ ทุกพรรคการเมืองไม่มีเงื่อนไขใดๆ ในการเข้าร่วม โดยเป้าหมายของพรรคพท.คือต้องได้ตัวนายกฯ ก่อน ส่วนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลใหม่นั้นต้องเป็นจำนวนที่เพียงพอต่อการบริหารประเทศได้
ด้านประเสริฐ กล่าวถึงกรณีอีก 6 พรรคร่วมจะตัดสินใจร่วมรัฐบาลใหม่กับพรรคพท.หรือไม่ว่า ขอให้เป็นดุลยพินิจของแต่ละพรรค หากเห็นด้วยกับแนวทางของพรรคพท. เราก็ยินดี บางพรรคร่วมตอบรับ บางพรรคยังไม่แสดงท่าทีส่วนเรื่องการโหวตของก้าวไกลจะช่วยพท.หรือไม่นั้น เราได้แจ้งพรรคร่วมแล้วว่าเป็นเรื่องของเอกสิทธิ์ของพรรคก้าวไกล ทั้งนี้ ในวันที่ 3 ส.ค.ช่วงบ่าย เราจะออกแถลงการณ์ตั้งรัฐบาลใหม่อีกครั้งหนึ่ง
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงกรณีที่ประชาชนออกมาชุมนุมกดดันพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลโดยที่ไม่มีพรรคก้าวไกลว่า การมีรัฐบาลคือสิ่งจำเป็น จึงต้องมีชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงข้อจำกัด ซึ่งการแสดงออกทางการเมืองในยุคนี้ มีความหลากหลายอยู่แล้ว เราในฐานะที่เป็นตัวแทนของเขา เราต้องพร้อม ถ้าม็อบมีความปรารถนาต่อบ้านเมือง ตนเชื่อว่ามันรับมือได้
ส่วนที่มวลชนมาชุมนุมกดดันเพื่อไทยจะมีแนวทางทำความเข้าใจอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรามีหน้าที่ชี้แจงและอธิบายข้อมูลข้อเท็จจริงทุกอย่าง ต้องตรงไปตรงมา เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ เราก็พร้อมที่จะทำในสิ่ง
เมื่อถามถึงการแถลงข่าวในวันพรุ่งนี้ จะมีตัวแทนจากพรรคร่วมใหม่มาจับมือการจัดตั้งรัฐบาลเลยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังไม่ได้วาดแนวทาง แต่มีการแถลงข่าวร่วมกันแน่ จะมีการแจ้งเวลา-สถานที่อีกครั้ง
ส่วนที่พรรคก้าวไกลออกจากพรรคร่วมรัฐบาลจะทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว. และ สส. เพิ่มขึ้นหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เหตุผลที่ สว. และ สส.จากพรรคการเมืองอื่นไม่ให้คะแนนอ้างเหตุของการแก้ไขมาตรา 112 และตัวนโยบายของพรรคก้าวไกลเราเองต้องทำเงื่อนไขนี้ให้หมดไป เราก็เสียดาย เราก็ไม่อยากทำ แต่ว่าภายใต้เงื่อนไขนี้ และสิ่งที่จะต้องทำหน้าที่ต่อไปเราก็คุยกับพรรคก้าวไกลดีๆ เขาก็ยอมรับ เราก็มั่นใจว่าเราปลดเงื่อนไขนี้แล้วก็จะได้รับการสนับสนุน
เมื่อถามว่าวันนี้ดูมีรอยยิ้มในการแถลงข่าว นพชลน่าน กล่าวว่า ถูกปิดปากมา 5 วัน อย่าคิดว่าเป็นมรสุม แต่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อบ้านเมือง
เมื่อถามว่าลำบากใจหรือไม่ที่ต้องตัดสินใจแยกทางกับพรรคก้าวไกล นพ.ชลน่าน “มันไม่มีอะไรสวยงามทุกอย่าง เราพยายามทำในสิ่งที่เสียหายกับประเทศน้อยที่สุด”
ทั้ง 8 พรรคมีข้อสรุปภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีความเห็นอย่างชัดเจนจากพรรคเพื่อไทย ยึดมั่นในการมีสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศและไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาได้ โดยมีเพียง 324 เสียงจากที่ต้องการถึง 376 เสียง ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้สนับสนุนพรรคก้าวไกลอย่างเต็มความสามารถทั้งการอภิปราย และยกมือสนับสนุน 141 เสียง แต่เนื่องจากปรากฏเงื่อนไขของพรรคการเมืองอื่นๆ และสมาชิกวุฒิสภา ไม่ยอมรับนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล โดยพรรคก้าวไกลรับทราบท่าทีเหล่านี้ แต่ยืนยันไม่ปรับเปลี่ยนนโยบาย จึงเป็นการแน่ชัดว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล จะไม่สามารถผ่านการลงมติเห็นชอบจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งได้
ดังนั้น ที่ประชุม 8 พรรคร่วม จึงมีมติส่งมอบภารกิจแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทย โดยเห็นชอบแนวทางให้พรรคเพื่อไทย หาเสียงสนับสนุนทั้งจากพรรคการเมืองนอกกลุ่มพรรคร่วมเดิม และสมาชิกวุฒิสภาได้
เมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ พรรคเพื่อไทยจึงเดินหน้าเพื่อหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติมทั้งจาก ส.ว. และ ส.ส. โดยการเชิญหลายพรรคการเมืองเข้าหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย และส่งตัวแทนรับฟังความคิดเห็นสมาชิกวุฒิสภาทั้งเป็นกลุ่มและรายบุคคล พบว่านโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังคงเป็นเงื่อนไขหลัก ขณะที่บางพรรคและบางคนแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งที่จะไม่สนับสนุนการร่วมรัฐบาลของพรรคก้าวไกลในทุกกรณี
ในสถานการณ์เช่นนี้ พรรคเพื่อไทย ได้ปรึกษาหารือกับพรรคก้าวไกลขอถอนตัวจากการร่วมมือกันและ เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมใหม่ เสนอชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยและเศรษฐา ขอยืนยันชัดเจนว่า เราจะไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วม พรรคเพื่อไทยจะใช้ความพยายามรวบรวมเสียง ให้เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเหมาะสม และพรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านและยืนยันจะทำงานการเมืองในมิติใหม่ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชน ในภารกิจที่สำคัญ ดังนี้
1.เราจะผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอันเป็นต้นเหตุของความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ และก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ของประเทศ โดยกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยเริ่มจากมติ ครม.ในการประชุมครั้งแรก ให้มีการทำประชามติ และจัดตั้ง สสร.ให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ รัฐบาลจะคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกตั้งใหม่ภายใต้กรอบกติกาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
2. นโยบายที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมได้นำเสนอต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งมีความคิดเห็นสอดคล้องกัน อาทิ กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายสุราก้าวหน้า การปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับเป็นระบบสมัครใจ ฯลฯ ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เป็นต้น ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะผลักดันร่วมกับพรรคร่วมเพื่อให้นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนดำเนินการได้ประสบความสำเร็จ
พรรคเพื่อไทย ขอแสดงความจริงใจต่อเพื่อนมิตรทุกพรรคการเมือง และสมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งพี่น้องประชาชนว่า นี่คือแนวทางที่จะรักษาสถาบันสำคัญของชาติให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งประเทศ และช่วยผลักดันความต้องการของประชาชน ภายใต้ข้อจำกัดและเส้นทางที่ยากลำบากนี้ไว้ได้ เพื่อให้ภารกิจนำพาประเทศพ้นวิกฤต สร้างสรรค์ประชาธิปไตย แก้ไขความขัดแย้ง คืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ปลดพันธนาการจากกลไกที่ไม่ปกติให้คืนสู่ความปกติ และใช้ประสบการณ์ และความสามารถของบุคลากรของพรรคเพื่อไทยเร่งแก้วิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนโดยเร็ว ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งเป็นกติกาสูงสุดจากอำนาจประชาชน
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า บรรยากาศพูดคุยเป็นไปด้วยดี ทางพรรคก้าวไกลต้องการความชัดเจนจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคก้าวไกลเข้าใจเหตุผล แต่ขอสรุปให้ชัดว่าไม่ใช่การบอกเลิกกัน แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องชี้ให้เห็นถึงเหตุผลที่ต้องแยกกันจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคก้าวไกล
เมื่อถามถึงพรรคร่วมรัฐบาลใหม่มีพรรคไหนบ้าง และพรรคก้าวไกลจะโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ พรรคพท.หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราได้คุยกับพรรคก้าวไกล โดยขอให้เป็นเอกสิทธิ์สส.ที่จะลงคะแนนให้กับพรรคพท. โดยเราไม่ได้ร้องขอ จะโหวตหรือไม่โหวตให้เราก็ได้ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลใหม่จะขอแจ้งให้ทราบในวันที่ 3 ส.ค.
ส่วน สว.จะโหวตให้พท.หรือไม่นั้น จากการแถลงวันนี้และแนวทางที่ชัดเจนที่เราแสดงเจตนารมณ์ ข้อกังวลของ สส.และ สว. เราเชื่อว่า ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว เราลดเงื่อนไขทั้งหมด น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่ สว.จะโหวตให้ความเห็นชอบ
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าพท.จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในการเสนอนายกฯ คาดว่าจะได้เสียงสนับสนุนครบ จากนั้นเราจะตั้งรัฐบาล ถ้าจะให้รัฐบาลเข้มแข็งควรมีเสียงเกิน 300 เสียงขึ้นไป แต่ด้วยข้อจำกัดขณะนี้ เราจะหาเสียงสนับสนุนให้ได้มากที่สุด เชื่อว่าการโหวตนายกฯวันที่ 4 ส.ค.จะจบด้วยการได้นายกฯ ในวันดังกล่าวทั้งนี้ ส่วนที่ สว.ต้องการให้เศรษฐาแสดงวิสัยทัศน์นั้น การแสดงวิสัยทัศน์ใช้เฉพาะตำแหน่งประธานสภาฯ แต่ข้อบังคับการเลือกนายกฯ ไม่ได้ระบุว่า จะต้องแสดงวิสัยทัศน์ เท่าที่คุยกับเศรษฐาก็พร้อมจะตอบทุกข้อสงสัย แต่ด้วยความที่เศรษฐาไม่เป็น สส.และถ้าเข้าสภาฯ ไปอาจจะมีประเด็นที่คาดไม่ถึง จึงขอไม่เข้าไปในที่ประชุม แต่หากมีอะไรที่พาดพิง สส.ของพรรคพท.พร้อมลุกขึ้นชี้แจงแทน
เมื่อถามว่า จะไม่มีพรรคสองลุงเข้าร่วมรัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขอให้รอความชัดเจนในวันที่ 4 ส.ค.และมั่นใจว่าเราจะตอบคำถามสังคมในทุกข้อสงสัย
ด้านภูมิธรรม กล่าวกรณีแกนนำพรรคก้าวไกลวิพากษ์วิจารณ์พรรคพท.ประวิงเวลา ไม่เรียกประชุมพรรคร่วมเสียทีว่า ไม่ใช่การประวิงเวลา แต่ที่ช้าเพราะเราถูกร้องขอจากแกนนำพรรคก้าวไกล ให้รอถึง 23.00 น.คืนวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเรารอถึงเที่ยงคืนของวันที่ 1 ส.ค. แต่พรรคก้าวไกลก็ไม่มีการติดต่อกลับมา เราจึงดำเนินการตามแนวทางของเราตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. โดยเราหารือกับพรรคก้าวไกลมาตลอด แต่แกนนำพรรคก้าวไกลอาจจะมีปัญหาการสื่อสารภายในกับสมาชิกทั้งนี้ เราได้โทรศัพท์ชี้แจงพรรคร่วมที่เหลือแล้ว ว่าเราต้องตั้งรัฐบาลเพื่อคลี่คลายวิกฤติที่เกิดขึ้น
“การตกลงกันครั้งนี้ ระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ไม่ใช่การเกี้ยเซี้ยะทางการเมือง แต่เป็นการต่างคนต่างทำหน้าที่โดยไม่มีก้าวไกลร่วมตั้งรัฐบาลด้วย ส่วนนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชน เราพร้อมร่วมผลักดันไม่ว่าจะเป็นของฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยคือการแก้ไขมาตรา 112 โดยเราจะทำหน้าที่ใช้ประสบการณ์ของเราแก้วิกฤติเศรษฐกิจ การเมืองให้เข้าสู่ระบบปกติทั้งหมด” ภูมิธรรม กล่าว
ภูมิธรรม กล่าวอีกว่า การประสานงานหลังจากนี้ ทุกพรรคการเมืองไม่มีเงื่อนไขใดๆ ในการเข้าร่วม โดยเป้าหมายของพรรคพท.คือต้องได้ตัวนายกฯ ก่อน ส่วนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลใหม่นั้นต้องเป็นจำนวนที่เพียงพอต่อการบริหารประเทศได้
ด้านประเสริฐ กล่าวถึงกรณีอีก 6 พรรคร่วมจะตัดสินใจร่วมรัฐบาลใหม่กับพรรคพท.หรือไม่ว่า ขอให้เป็นดุลยพินิจของแต่ละพรรค หากเห็นด้วยกับแนวทางของพรรคพท. เราก็ยินดี บางพรรคร่วมตอบรับ บางพรรคยังไม่แสดงท่าทีส่วนเรื่องการโหวตของก้าวไกลจะช่วยพท.หรือไม่นั้น เราได้แจ้งพรรคร่วมแล้วว่าเป็นเรื่องของเอกสิทธิ์ของพรรคก้าวไกล ทั้งนี้ ในวันที่ 3 ส.ค.ช่วงบ่าย เราจะออกแถลงการณ์ตั้งรัฐบาลใหม่อีกครั้งหนึ่ง
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงกรณีที่ประชาชนออกมาชุมนุมกดดันพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลโดยที่ไม่มีพรรคก้าวไกลว่า การมีรัฐบาลคือสิ่งจำเป็น จึงต้องมีชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงข้อจำกัด ซึ่งการแสดงออกทางการเมืองในยุคนี้ มีความหลากหลายอยู่แล้ว เราในฐานะที่เป็นตัวแทนของเขา เราต้องพร้อม ถ้าม็อบมีความปรารถนาต่อบ้านเมือง ตนเชื่อว่ามันรับมือได้
ส่วนที่มวลชนมาชุมนุมกดดันเพื่อไทยจะมีแนวทางทำความเข้าใจอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรามีหน้าที่ชี้แจงและอธิบายข้อมูลข้อเท็จจริงทุกอย่าง ต้องตรงไปตรงมา เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ เราก็พร้อมที่จะทำในสิ่ง
เมื่อถามถึงการแถลงข่าวในวันพรุ่งนี้ จะมีตัวแทนจากพรรคร่วมใหม่มาจับมือการจัดตั้งรัฐบาลเลยหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยังไม่ได้วาดแนวทาง แต่มีการแถลงข่าวร่วมกันแน่ จะมีการแจ้งเวลา-สถานที่อีกครั้ง
ส่วนที่พรรคก้าวไกลออกจากพรรคร่วมรัฐบาลจะทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว. และ สส. เพิ่มขึ้นหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เหตุผลที่ สว. และ สส.จากพรรคการเมืองอื่นไม่ให้คะแนนอ้างเหตุของการแก้ไขมาตรา 112 และตัวนโยบายของพรรคก้าวไกลเราเองต้องทำเงื่อนไขนี้ให้หมดไป เราก็เสียดาย เราก็ไม่อยากทำ แต่ว่าภายใต้เงื่อนไขนี้ และสิ่งที่จะต้องทำหน้าที่ต่อไปเราก็คุยกับพรรคก้าวไกลดีๆ เขาก็ยอมรับ เราก็มั่นใจว่าเราปลดเงื่อนไขนี้แล้วก็จะได้รับการสนับสนุน
เมื่อถามว่าวันนี้ดูมีรอยยิ้มในการแถลงข่าว นพชลน่าน กล่าวว่า ถูกปิดปากมา 5 วัน อย่าคิดว่าเป็นมรสุม แต่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อบ้านเมือง
เมื่อถามว่าลำบากใจหรือไม่ที่ต้องตัดสินใจแยกทางกับพรรคก้าวไกล นพ.ชลน่าน “มันไม่มีอะไรสวยงามทุกอย่าง เราพยายามทำในสิ่งที่เสียหายกับประเทศน้อยที่สุด”