









ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุม 151 ส.ส.พรรคก้าวไกล เพื่อเตรียมความพร้อมในการโหวตนายกรัฐมนตรีวันพรุ่งนี้ (19 ก.ค.) โดยพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีวิป 3 ฝ่ายยังไม่ได้ข้อยุติว่า ในวันพรุ่งนี้จะสามารถเสนอชื่อ พิธา รอบที่ 2 ให้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ว่า เรื่องนี้ในที่ประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้อธิบายข้อกฎหมายว่า ไม่เกี่ยวข้องกันการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ญัตติ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า กังวลใจหากจะมีการคว่ำญัตติ เพื่อสกัดกั้นตนเพียงคนเดียว เพราะจะส่งผลต่อระบบทั้งหมด เนื่องจากมัดตน มัดพรรคก้าวไกล ก็จะมัดการเมืองอื่น พรรคที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งจะทำให้การเสนอชื่อคนดำรงตำแหน่งก็จะกลายเป็นญัตติไปหมดแล้ว จะเป็นการผูกที่แก้ไขยาก แล้วจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตของผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากลงมติในครั้งแรกไม่ผ่าน เช่น อาจจะติดว่า เคยไปถ่ายรูปกับใครมา ถ้าถอยกลับมาก็อาจจะโหวตใหม่ไม่ได้ ดังนั้นตรงนี้ต้องดึงสติกันให้ชัด และต้องเห็นความแตกต่างระหว่างการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับญัตติ ซึ่งในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดว่าหากเสนอญัตติต้องเข้าชื่อกัน แต่กรณีนี้ไม่ใช่การยื่นญัตติ จึงคิดว่าหากไปตีความเพื่อสกัดตนแล้วส่งผลกระทบทั้งระบบเป็นเรื่องที่น่ากลัว และไม่ควรทำ
ส่วนความเป็นไปได้ในการขอเพิ่มเสียงโดยการดึงพรรคที่ 9 และที่ 10 มาร่วมนั้น พิธา กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกันในเรื่องนี้ เป็นเพียงเรื่องที่เลขาธิการพรรคไปสอบถามว่า จะมีการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือไม่ ขณะที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ก็ดำเนินการตามที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสม ก็เข้าใจกันทุกฝ่าย ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ส่วนหากมีพรรคไหนพร้อมโหวตให้จะให้ร่วมงานด้วยหรือไม่ก็ต้องเป็นเรื่องที่หารือกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เรื่องการปรับแก้ MOU เพื่อเปิดให้พรรคมาร่วมนั้น 8 พรรคยังคงเหมือนเดิมและไม่ได้รับการติดต่อจากพรรคไหนว่า จะมาร่วม แต่ถ้าได้รับการตอบรับ ก็สามารถปรับยุทธศาสตร์ได้ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หากไม่ได้ผลลัพธ์อะไรก็แสดงว่ายุทธศาสตร์ที่ผ่านมาไม่สามารถต้านแรงสกัดได้ ก็ต้องถอยเพื่อให้บ้านเมืองไปต่อได้
ส่วนเสียงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญอยู่ที่เท่าไหร่นั้น พิธา กล่าวว่า เป็นไปตามที่ได้สื่อสารไว้ว่า หากเพิ่มขึ้นอีก 10 กว่าเปอร์เซ็นต์คือ 340-350 กว่า ตนเชื่อว่า เป็นทิศทางที่ดีที่เข้าใกล้ถึงเป้าหมาย รวมถึงเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ซึ่งยืนยันว่า ไม่ใช่การตัดสินใจด้วยอารมณ์หรือถ่วงเวลาอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นการตัดสินใจโดยสถิติและการโหวตมาตรานี้ เมื่อปี 2563 จนถึงปี 2565
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า หากพรรคก้าวไกลจะเปิดทางให้จะต้องออกแถลงการณ์ในนามพรรคนั้น พิธากล่าวว่า เมื่อถึงเวลาคงเป็นอย่างนั้น ส่วนการเตรียมแผนสำรองในการเสนอชื่อบุคคลอื่นแทนตนนั้น ยังไม่เห็นสถานการณ์นั้น
เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่า หากเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกลจะอยู่ในสมการเดียวกัน พิธา กล่าวว่า นั่นเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ เพราะเป็นรัฐบาลที่ร่วมกันจัดตั้ง 8 พรรคมี MOU กันมาอย่างชัดเจน และทำงานมาถึงขั้นนี้แล้ว ตนก็คิดว่า หากตนในฐานะพรรคอันดับ 1 ไปต่อไม่ได้ ก็ส่งไม้ให้พรรคอันดับ 2 ก็คิดว่า คงจะอยู่ในเรือลำเดียวกัน ร่วมกันมาและตั้งรัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน
ส่วนกรณีที่ ส.ว.ระบุว่า หากพรรคก้าวไกลไม่แก้ 112 ก็พร้อมที่จะโหวตให้นั้น จากการฟังการอภิปรายในวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นโอกาสทำให้เห็นภาพได้มากขึ้น โดยบางคนคิดว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับความยืดหยุ่น ว่าตกลงใครเป็นคนฟ้องเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เพื่อไม่ให้ใครเอามาตรานี้มารังแกคนเห็นต่างทางการเมืองได้ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ฟ้องได้หมด รวมถึงเรื่องของสัดส่วนโทษ จึงเห็นว่าการอภิปรายในวันนั้น ทำให้แนวคิดของ ส.ว.และตนเข้าใกล้กันมากขึ้น โดยเป็นเรื่องรายละเอียดแต่ละข้อที่ ส.ว.กังวลใจ จึงรู้สึกว่า มีความคืบหน้า ยืดหยุ่นพูดคุยกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจในสังคมไทย ส่วนเมื่อถามย้ำว่า พร้อมที่จะปรับเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือไม่ พิธากล่าวว่า ขอฟังชัดๆ แล้วขอคุยกันอีกทีนึง
พิธา ยังกล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคภูมิใจไทย บอกให้ลดเพดานแล้วพร้อมจะโหวตให้นั้นว่า ตนไม่แน่ใจว่าข้อเสนอนี้ยังอยู่หรือจบไปแล้ว เพราะเห็นจากสื่อว่าจบไปแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องนำมาวิเคราะห์กัน
ส่วนความเป็นไปได้ในการขอเพิ่มเสียงโดยการดึงพรรคที่ 9 และที่ 10 มาร่วมนั้น พิธา กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกันในเรื่องนี้ เป็นเพียงเรื่องที่เลขาธิการพรรคไปสอบถามว่า จะมีการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือไม่ ขณะที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ก็ดำเนินการตามที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสม ก็เข้าใจกันทุกฝ่าย ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ส่วนหากมีพรรคไหนพร้อมโหวตให้จะให้ร่วมงานด้วยหรือไม่ก็ต้องเป็นเรื่องที่หารือกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เรื่องการปรับแก้ MOU เพื่อเปิดให้พรรคมาร่วมนั้น 8 พรรคยังคงเหมือนเดิมและไม่ได้รับการติดต่อจากพรรคไหนว่า จะมาร่วม แต่ถ้าได้รับการตอบรับ ก็สามารถปรับยุทธศาสตร์ได้ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หากไม่ได้ผลลัพธ์อะไรก็แสดงว่ายุทธศาสตร์ที่ผ่านมาไม่สามารถต้านแรงสกัดได้ ก็ต้องถอยเพื่อให้บ้านเมืองไปต่อได้
ส่วนเสียงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญอยู่ที่เท่าไหร่นั้น พิธา กล่าวว่า เป็นไปตามที่ได้สื่อสารไว้ว่า หากเพิ่มขึ้นอีก 10 กว่าเปอร์เซ็นต์คือ 340-350 กว่า ตนเชื่อว่า เป็นทิศทางที่ดีที่เข้าใกล้ถึงเป้าหมาย รวมถึงเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ซึ่งยืนยันว่า ไม่ใช่การตัดสินใจด้วยอารมณ์หรือถ่วงเวลาอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นการตัดสินใจโดยสถิติและการโหวตมาตรานี้ เมื่อปี 2563 จนถึงปี 2565
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า หากพรรคก้าวไกลจะเปิดทางให้จะต้องออกแถลงการณ์ในนามพรรคนั้น พิธากล่าวว่า เมื่อถึงเวลาคงเป็นอย่างนั้น ส่วนการเตรียมแผนสำรองในการเสนอชื่อบุคคลอื่นแทนตนนั้น ยังไม่เห็นสถานการณ์นั้น
เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่า หากเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพรรคก้าวไกลจะอยู่ในสมการเดียวกัน พิธา กล่าวว่า นั่นเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ เพราะเป็นรัฐบาลที่ร่วมกันจัดตั้ง 8 พรรคมี MOU กันมาอย่างชัดเจน และทำงานมาถึงขั้นนี้แล้ว ตนก็คิดว่า หากตนในฐานะพรรคอันดับ 1 ไปต่อไม่ได้ ก็ส่งไม้ให้พรรคอันดับ 2 ก็คิดว่า คงจะอยู่ในเรือลำเดียวกัน ร่วมกันมาและตั้งรัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน
ส่วนกรณีที่ ส.ว.ระบุว่า หากพรรคก้าวไกลไม่แก้ 112 ก็พร้อมที่จะโหวตให้นั้น จากการฟังการอภิปรายในวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นโอกาสทำให้เห็นภาพได้มากขึ้น โดยบางคนคิดว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับความยืดหยุ่น ว่าตกลงใครเป็นคนฟ้องเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เพื่อไม่ให้ใครเอามาตรานี้มารังแกคนเห็นต่างทางการเมืองได้ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ฟ้องได้หมด รวมถึงเรื่องของสัดส่วนโทษ จึงเห็นว่าการอภิปรายในวันนั้น ทำให้แนวคิดของ ส.ว.และตนเข้าใกล้กันมากขึ้น โดยเป็นเรื่องรายละเอียดแต่ละข้อที่ ส.ว.กังวลใจ จึงรู้สึกว่า มีความคืบหน้า ยืดหยุ่นพูดคุยกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจในสังคมไทย ส่วนเมื่อถามย้ำว่า พร้อมที่จะปรับเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือไม่ พิธากล่าวว่า ขอฟังชัดๆ แล้วขอคุยกันอีกทีนึง
พิธา ยังกล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคภูมิใจไทย บอกให้ลดเพดานแล้วพร้อมจะโหวตให้นั้นว่า ตนไม่แน่ใจว่าข้อเสนอนี้ยังอยู่หรือจบไปแล้ว เพราะเห็นจากสื่อว่าจบไปแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องนำมาวิเคราะห์กัน