รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงญัตติที่จะเสนอให้ที่ประชุมรัฐสภา ทบทวนการลงมติวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ยังค้างอยู่ในวาระการประชุมว่า พรรคก้าวไกลยังยืนยันที่จะเสนอให้การประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 22 ส.ค.พิจารณาวาระดังกล่าว เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน อ้างเป็นเหตุผลทางเทคนิค โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาเนื้อหาสาระของคำร้องเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นสภาฯ จึงสามารถทบทวนมติดังกล่าวนี้ได้ ซึ่งวันนี้ในการประชุมวิป 3 ฝ่าย ตนจึงจะเสนอประธานรัฐสภาให้พิจารณาวาระดังกล่าว โดยกำหนดกรอบเวลาได้ เพื่อให้รัฐสภาทบทวนบางสิ่งที่อาจทำผิดพลาดไป ส่วนตัวหวังให้การโหวตชนะ แต่สุดท้ายเราไม่ใช่คนตัดสิน ต้องดูหน้างาน แต่ขอว่าอย่าเผาบ้านไล่หนู เพราะถ้าเราทำลายหลักการแล้วเป็นบรรทัดฐานถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะการเสนอชื่อบุคคลไม่ใช่มีแค่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ยังมีอีกหลายตำแหน่ง จึงต้องระวังให้ดี ซึ่งหากก่อนหน้านี้ต้องการอยากเล่นงานพรรคก้าวไกล หรือสกัดไม่ให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างสำเร็จแล้ว เหตุใดจึงจะต้องยืนยันแบบเดิม เพื่อทำลายหลักการของรัฐธรรมนูญ และไม่ว่าผลของการลงมติ ในวันที่ 22 สิงหาคม จะเป็นอย่างไรก็พร้อมที่จะน้อมรับ และคงไม่มีการเสนอญัตติซ้ำ เนื่องจากทำไม่ได้ตามกฏหมาย จึงต้องยอมรับว่า ในสมัยการประชุมนี้ บรรทัดฐานเป็นแบบนี้
เมื่อถามว่า หากมติออกมาในลักษณะเดิม จะเป็นการตอกย้ำว่า พรรคก้าวไกลจะต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้านใช่หรือไม่ รังสิมันต์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะเกิดขึ้นเมื่อมีรัฐบาล ตอนนี้ ต้องดูว่ารัฐบาลจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติประกาศจับมือกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลนั้น พรรคก้าวไกล ยังไม่ได้มีการหารือในเรื่องนี้ แต่คงจะต้องประชุมกัน
ส่วนจุดยืนของพรรคก้าวไกลนั้น ย้ำว่า ยังคงเหมือนเดิม คือ ไม่ให้คะแนนในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เพราะเรายืนยันมาตลอดว่า ‘มีลุงไม่มีเรา’ เป็นสัญญาสำคัญที่ให้ไว้กับประชาชนและไม่อาจลืมได้
เมื่อถามว่า การประกาศไม่โหวตให้ เศรษฐา ทวีสิน จะถึงขั้นวอล์คเอาท์จากห้องหรือไม่ รังสิมันต์ ย้ำว่า พรรคยังไม่ได้มีการประชุม และยังไม่มีความคิดในเรื่องวอล์คเอาท์ แต่น่าจะเป็นการร่วมประชุมในกลไกตามปกติ
พร้อมกันนี้ รังสิมันต์ ยังระบุว่า พรรคก้าวไกลยังไม่มีวาระหารือในประเด็นของรองประธานสภาคนที่ 1 และไม่ทราบว่า มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหารือในประเด็นดังกล่าวนี้ แต่หากจะต้องหารือ คงไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดในช่วงเวลานี้ เพราะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาพิจารณาไม่นาน ไม่มีกระบวนการอะไรมาก
ส่วนความรู้สึกของ สส.พรรคก้าวไกล หลังพรรค 2 ลุงประกาศร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย รังสิมันต์ ยอมรับว่า สส.ของพรรคได้รับความรู้สึกผิดหวังจากประชาชนเป็นจำนวนมาก และเราก็รู้สึกแบบเดียวกันว่า ประเทศของเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เราอยู่แบบเดิมเพิ่มเติมคือพรรคที่น่าจะเป็นพันธมิตรของเรา แต่เราต้องมูฟออนเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนการทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยในอนาคตนั้น น่าจะเป็นไปตามกลไกของรัฐสภา เพราะวันนี้พรรคก้าวไกลเสนอกฎหมายไปหลายฉบับจึงจำเป็นที่จะต้องขอเสียงจากทุกฝ่าย ดังนั้นต้องว่ากันไปเป็นเรื่องๆ แต่ทุกเรื่องล้วนเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติทั้งนั้น
เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกล จะทวงถาม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เรื่องจะลาออกหรือไม่ หลังจากดึงพรรค 2 ลุง เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล รังสิมันต์ ระบุว่า พรรคก้าวไกลไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่นั้น เพราะเป็นเรื่องภายในของพรรคเพื่อไทย และเป็นเรื่องของพี่น้องประชาชนที่สนับสนุน พรรคก้าวไกลแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง หากชัดเจนว่า จะต้องเป็นฝ่ายค้าน เราก็จะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน เว้นแต่การจัดตั้งรัฐบาลไม่สามารถทำได้ก็ต้องมาว่ากันใหม่
เมื่อถามว่า เสียง สว.บางส่วนไม่ต้องการโหวตให้เศรษฐา เนื่องจากมีตำหนิ พรรคก้าวไกลได้ประเมินหรือไม่ว่า สุดท้ายว่าจะมีการเสนอชื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นนายกรัฐมนตรี รังสิมันต์ กล่าวว่า หวังว่าจะไม่ไปถึงขั้นนั้น เพราะเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ เพราะเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เราฝันจะต้องรัฐบาลประชาชน แต่ต้องกลายเป็นรัฐบาลลุง เป็นเรื่องยากที่สังคมจะรับไหว หากเป็นเช่นนั้นจริงจะมีการชุมนุมหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่เห็นหน้าตาของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้น ต้องดูว่า พรรคไหนได้กระทรวงไหนก่อนจึงจะบอกได้
เมื่อถามว่า หากมติออกมาในลักษณะเดิม จะเป็นการตอกย้ำว่า พรรคก้าวไกลจะต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้านใช่หรือไม่ รังสิมันต์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะเกิดขึ้นเมื่อมีรัฐบาล ตอนนี้ ต้องดูว่ารัฐบาลจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติประกาศจับมือกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลนั้น พรรคก้าวไกล ยังไม่ได้มีการหารือในเรื่องนี้ แต่คงจะต้องประชุมกัน
ส่วนจุดยืนของพรรคก้าวไกลนั้น ย้ำว่า ยังคงเหมือนเดิม คือ ไม่ให้คะแนนในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เพราะเรายืนยันมาตลอดว่า ‘มีลุงไม่มีเรา’ เป็นสัญญาสำคัญที่ให้ไว้กับประชาชนและไม่อาจลืมได้
เมื่อถามว่า การประกาศไม่โหวตให้ เศรษฐา ทวีสิน จะถึงขั้นวอล์คเอาท์จากห้องหรือไม่ รังสิมันต์ ย้ำว่า พรรคยังไม่ได้มีการประชุม และยังไม่มีความคิดในเรื่องวอล์คเอาท์ แต่น่าจะเป็นการร่วมประชุมในกลไกตามปกติ
พร้อมกันนี้ รังสิมันต์ ยังระบุว่า พรรคก้าวไกลยังไม่มีวาระหารือในประเด็นของรองประธานสภาคนที่ 1 และไม่ทราบว่า มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหารือในประเด็นดังกล่าวนี้ แต่หากจะต้องหารือ คงไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดในช่วงเวลานี้ เพราะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาพิจารณาไม่นาน ไม่มีกระบวนการอะไรมาก
ส่วนความรู้สึกของ สส.พรรคก้าวไกล หลังพรรค 2 ลุงประกาศร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย รังสิมันต์ ยอมรับว่า สส.ของพรรคได้รับความรู้สึกผิดหวังจากประชาชนเป็นจำนวนมาก และเราก็รู้สึกแบบเดียวกันว่า ประเทศของเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เราอยู่แบบเดิมเพิ่มเติมคือพรรคที่น่าจะเป็นพันธมิตรของเรา แต่เราต้องมูฟออนเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนการทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยในอนาคตนั้น น่าจะเป็นไปตามกลไกของรัฐสภา เพราะวันนี้พรรคก้าวไกลเสนอกฎหมายไปหลายฉบับจึงจำเป็นที่จะต้องขอเสียงจากทุกฝ่าย ดังนั้นต้องว่ากันไปเป็นเรื่องๆ แต่ทุกเรื่องล้วนเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติทั้งนั้น
เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกล จะทวงถาม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เรื่องจะลาออกหรือไม่ หลังจากดึงพรรค 2 ลุง เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล รังสิมันต์ ระบุว่า พรรคก้าวไกลไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่นั้น เพราะเป็นเรื่องภายในของพรรคเพื่อไทย และเป็นเรื่องของพี่น้องประชาชนที่สนับสนุน พรรคก้าวไกลแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง หากชัดเจนว่า จะต้องเป็นฝ่ายค้าน เราก็จะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน เว้นแต่การจัดตั้งรัฐบาลไม่สามารถทำได้ก็ต้องมาว่ากันใหม่
เมื่อถามว่า เสียง สว.บางส่วนไม่ต้องการโหวตให้เศรษฐา เนื่องจากมีตำหนิ พรรคก้าวไกลได้ประเมินหรือไม่ว่า สุดท้ายว่าจะมีการเสนอชื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นนายกรัฐมนตรี รังสิมันต์ กล่าวว่า หวังว่าจะไม่ไปถึงขั้นนั้น เพราะเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ เพราะเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เราฝันจะต้องรัฐบาลประชาชน แต่ต้องกลายเป็นรัฐบาลลุง เป็นเรื่องยากที่สังคมจะรับไหว หากเป็นเช่นนั้นจริงจะมีการชุมนุมหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่เห็นหน้าตาของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้น ต้องดูว่า พรรคไหนได้กระทรวงไหนก่อนจึงจะบอกได้