อีกเพียงหนึ่งวัน จะเข้าสู่การโหวตเลือก ‘ประธานสภาฯ’ แต่สิ่งที่ยังสร้างความตึงเครียดให้กับคอการเมืองอยู่ หนีไม่พ้นประเด็นการเคาะตำแหน่ง ‘แคนดิเดต’ พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ที่ท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับบทสรุปของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ที่จะมีการร่วมหารือเป็นการภายใน ว่าจะมีแนวทางการลงมติ ‘ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ’ ออกมาอย่างไร
SPACEBAR พูดคุยปมคาราคาซัง ‘ศึกชิงบัลลังก์หินอ่อน’ กับ ‘คนเสื้อแดง’ ที่เคยเป็นทั้งกำลังหนุนพรรคเพื่อไทยในอดีตและปัจจุบัน เพื่อสังเคราะห์ความเห็นฉากทัศน์ที่ควรจะเป็น ตามกระดานการเมืองที่ไม่มีใครเดาทางถูก
SPACEBAR พูดคุยปมคาราคาซัง ‘ศึกชิงบัลลังก์หินอ่อน’ กับ ‘คนเสื้อแดง’ ที่เคยเป็นทั้งกำลังหนุนพรรคเพื่อไทยในอดีตและปัจจุบัน เพื่อสังเคราะห์ความเห็นฉากทัศน์ที่ควรจะเป็น ตามกระดานการเมืองที่ไม่มีใครเดาทางถูก
ผมโทรศัพท์ไปหา ‘ธิดา ถาวรเศรษฐ’ แกนนำ นปช. พร้อมตั้งปุจฉาถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น บุคคลสำคัญของมวลชนเสื้อแดง ให้ความเห็นว่า กรณีที่เกิดขึ้นเหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน
ด้านแรกคือ ‘ความราบรื่น’ สามารถสัมผัสได้ในตอนแรกของการจัดตั้งเครือข่าย ‘ดรีมทีม’ ส่วนด้านที่สอง คือ ‘ความขลุกขลัก’ ช่วงการเลือกประธานสภาฯ โดยส่วนตัวมองในแง่ดี มันแสดงให้เห็นว่า ‘เพื่อไทย’ มีธรรมชาติของพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่มักมีหลายมุมหรือขั้วความเห็นแตกต่าง กรณีการต่อรอง หากมีการพูดคุยกันเองในพรรคแล้วหาข้อสรุปร่วมกันได้ก่อนคงไม่เกิดปัญหา
ในส่วนของ ‘ก้าวไกล’ ที่ได้คะแนนมาเป็นพรรคอันดับที่ 1 จำเป็นต้องการทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยพูดเอาไว้ หากผิดคำสัญญาคงถูกโจมตี
ดังนั้นข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุผลเดียวกัน คือ ‘ต้องทำตามสัญญา’ ที่ให้ไว้กับแฟนคลับของตัวเอง ส่วนตัวจึงเห็นด้วยกันการ ‘ต่อรอง’ อย่างไรเสียต้องหาข้อตกลงเพื่อให้ ‘รัฐบาลในฝัน’ เดินหน้าต่อได้ เพราะทั้งสองพรรคแยกกันไม่ได้ และทั้งคู่เข้าใจประเด็นนี้
แต่ที่พรรคเพื่อไทยถูกวิจารณ์จากกรณี ‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ ให้ความเห็นประเด็น ‘ถูกคลุมถุงชน’ เธอมองว่า จริงๆ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยต้องการสื่อสารไปถึงคนในพรรคและแฟนคลับ ที่ไม่พึงพอใจพรรคก้าวไกล ไม่ให้คิดแตกแยกกับว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล โดยใช้เหตุผล ความคาดหวังของประชาชนมายุติความเห็นต่าง
“ตามทรรศนะของประชาชนไม่ต้องการให้แยก ถ้าใครเป็นคนตั้งใจแยก เพื่อเป็นอุปสรรคของการเดินไปข้างหน้า เลือกตั้งรอบหน้าก็จบ ซึ่งอาจารย์ก็มองว่าเพื่อไทยไม่แยกแน่นอน ถ้าทิ้งก็จบเห่ลูกเดียว”
ผมถามต่อถึงกรณีฉากทัศน์ที่มองออกไปอย่างมากมาย ซึ่งแกนนำ นปช. กล่าวกับผู้ถามว่า เรื่องพิสดารเป็นฉากทัศน์ที่ไม่ได้เกิดจากประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ส่วนตัวขอพูดแทนประชาชนว่า ‘มีฉากทัศน์เดียว’ คือ ‘เพื่อไทย - ก้าวไกล’ ต้องไปด้วยกัน เพื่อเปลี่ยนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ช่วยปิดกั้นไม่ให้การสืบทอดอำนาจจากทหารเกิดขึ้นได้อีก
ในส่วนแรกเริ่มเฉพาะหน้า ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และพรรคก้าวไกล ต้องเป็นแกนนำ เพราะมาเป็นอันดับสูงสุดมากกว่าพรรคเพื่อไทยถึง 4 ล้านเสียง ซึ่งเป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนต้องการให้เป็นรัฐบาล แม้ก่อนหน้านี้จะเห็นคนบางกลุ่มที่อ้างว่าเป็น ‘เสื้อแดง’ ออกมาคัดค้านรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล แต่ทุกคนเข้าใจว่าอะไรคือกติกาที่ถูกต้อง
“คุณต้องรู้ว่าใครเป็นใคร อย่าว่าแต่มวลชนเลย ส.ส. และสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่ง ก็เจ็บปวดกับผลคะแนนและไม่ชอบคู่แข่ง แต่เขายังไม่ใช่ตัวแทนน ไม่ใช่คนที่ต่อสู้ที่เป็นผลประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน คนเสื้อแดงจริงๆ เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาเข้าใจการเมืองและต่อต้านรัฐประหาร เมื่อผลออกมาแบบนี้ เขาย่อมรู้ว่าต้องแพ้ให้เป็น อาจารย์เชื่อเขาไม่ยอมให้แยกหรอก เพราะเขาต้องรักษาเจตจำนงเพื่อความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ขอให้รักษาเจตจำนงนี้ให้ดีเพราะประชาชนฝากความหวังไว้” ธิดา ถาวรเศรษฐ กล่าวทิ้งท้าย
ด้านแรกคือ ‘ความราบรื่น’ สามารถสัมผัสได้ในตอนแรกของการจัดตั้งเครือข่าย ‘ดรีมทีม’ ส่วนด้านที่สอง คือ ‘ความขลุกขลัก’ ช่วงการเลือกประธานสภาฯ โดยส่วนตัวมองในแง่ดี มันแสดงให้เห็นว่า ‘เพื่อไทย’ มีธรรมชาติของพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่มักมีหลายมุมหรือขั้วความเห็นแตกต่าง กรณีการต่อรอง หากมีการพูดคุยกันเองในพรรคแล้วหาข้อสรุปร่วมกันได้ก่อนคงไม่เกิดปัญหา
ในส่วนของ ‘ก้าวไกล’ ที่ได้คะแนนมาเป็นพรรคอันดับที่ 1 จำเป็นต้องการทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยพูดเอาไว้ หากผิดคำสัญญาคงถูกโจมตี
ดังนั้นข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุผลเดียวกัน คือ ‘ต้องทำตามสัญญา’ ที่ให้ไว้กับแฟนคลับของตัวเอง ส่วนตัวจึงเห็นด้วยกันการ ‘ต่อรอง’ อย่างไรเสียต้องหาข้อตกลงเพื่อให้ ‘รัฐบาลในฝัน’ เดินหน้าต่อได้ เพราะทั้งสองพรรคแยกกันไม่ได้ และทั้งคู่เข้าใจประเด็นนี้
แต่ที่พรรคเพื่อไทยถูกวิจารณ์จากกรณี ‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ ให้ความเห็นประเด็น ‘ถูกคลุมถุงชน’ เธอมองว่า จริงๆ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยต้องการสื่อสารไปถึงคนในพรรคและแฟนคลับ ที่ไม่พึงพอใจพรรคก้าวไกล ไม่ให้คิดแตกแยกกับว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล โดยใช้เหตุผล ความคาดหวังของประชาชนมายุติความเห็นต่าง
“ตามทรรศนะของประชาชนไม่ต้องการให้แยก ถ้าใครเป็นคนตั้งใจแยก เพื่อเป็นอุปสรรคของการเดินไปข้างหน้า เลือกตั้งรอบหน้าก็จบ ซึ่งอาจารย์ก็มองว่าเพื่อไทยไม่แยกแน่นอน ถ้าทิ้งก็จบเห่ลูกเดียว”
ผมถามต่อถึงกรณีฉากทัศน์ที่มองออกไปอย่างมากมาย ซึ่งแกนนำ นปช. กล่าวกับผู้ถามว่า เรื่องพิสดารเป็นฉากทัศน์ที่ไม่ได้เกิดจากประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ส่วนตัวขอพูดแทนประชาชนว่า ‘มีฉากทัศน์เดียว’ คือ ‘เพื่อไทย - ก้าวไกล’ ต้องไปด้วยกัน เพื่อเปลี่ยนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ช่วยปิดกั้นไม่ให้การสืบทอดอำนาจจากทหารเกิดขึ้นได้อีก
ในส่วนแรกเริ่มเฉพาะหน้า ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และพรรคก้าวไกล ต้องเป็นแกนนำ เพราะมาเป็นอันดับสูงสุดมากกว่าพรรคเพื่อไทยถึง 4 ล้านเสียง ซึ่งเป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนต้องการให้เป็นรัฐบาล แม้ก่อนหน้านี้จะเห็นคนบางกลุ่มที่อ้างว่าเป็น ‘เสื้อแดง’ ออกมาคัดค้านรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล แต่ทุกคนเข้าใจว่าอะไรคือกติกาที่ถูกต้อง
“คุณต้องรู้ว่าใครเป็นใคร อย่าว่าแต่มวลชนเลย ส.ส. และสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่ง ก็เจ็บปวดกับผลคะแนนและไม่ชอบคู่แข่ง แต่เขายังไม่ใช่ตัวแทนน ไม่ใช่คนที่ต่อสู้ที่เป็นผลประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน คนเสื้อแดงจริงๆ เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาเข้าใจการเมืองและต่อต้านรัฐประหาร เมื่อผลออกมาแบบนี้ เขาย่อมรู้ว่าต้องแพ้ให้เป็น อาจารย์เชื่อเขาไม่ยอมให้แยกหรอก เพราะเขาต้องรักษาเจตจำนงเพื่อความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ขอให้รักษาเจตจำนงนี้ให้ดีเพราะประชาชนฝากความหวังไว้” ธิดา ถาวรเศรษฐ กล่าวทิ้งท้าย
อีกคนที่ผู้เขียนลองโทรศัพท์ไปพูดคุยเพื่อถามไถ่ความเห็น คือ ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน แม้วันนี้ดูจะห่างเหินกับพรรคเพื่อไทย แต่ในฐานะอดีตแกนนำ นปช. แต่เขาก็เต็มใจให้ข้อมูลอย่างเปิดกว้าง ให้ผู้อ่านได้คิดพิจารณากันต่อ
จตุพร ยังยืนยันแนวคิดเดิมที่เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวก่อนหน้านี้ ว่า ‘ก้าวไกล จะไม่ได้ครอบครองทั้งตำแหน่งประธานสภาฯ และเก้าอี้นายกฯ’ อย่างตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ถูกวางตัวไว้ให้เป็น ‘สุชาติ ตันเจริญ’ ตามเกมที่สื่อมวลชนสันนิษฐาน ถึงกรณีการย้ายจาก ‘พลังประชารัฐ’ กลับมายัง ‘เพื่อไทย’ สามารถจับสังเกตได้จาก กรณีที่ ‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ ให้สัมภาษณ์กลับไปกลับมาหลายครั้ง
“อย่างที่ผมเคยบอกว่า ต่อให้ไม่มีใครยอมถอย หรือมีคนยอมสละเก้า สุดท้ายก็ได้ สุชาติ ตันเจริญ ต่อให้พรรคเพื่อไทยไม่เสนอสุชาติ ก็จะยังได้สุชาติ ผลลัพธ์ไม่เปลี่ยนแม้จะมีการเจรจาอย่างไร ผมกล้าที่จะแทงอย่างนี้”
จตุพร เปรียบเปรยว่าการทำนายของเขา เป็นการ ‘เล่นไฮโล’ ประหนึ่งแทงก่อนที่เจ้ามือจะเขย่า หากไม่เป็นตามที่สันนิษฐาน จะต้องมีภาพ ‘พ่อมดดำ’ ออกมาแถลงข่าวแล้ว ส่วนตัวเปิดประเด็นนี้มา 2 สัปดาห์แล้วแต่ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหว พบเพียงแต่ข้อพิรุธอย่างการรายงานตัว ส.ส. ที่ ‘เจ้าพ่อฉะเชิงเทรา’ แยกไปตัวดำเนินการเองเพื่อหลบหลีกสื่อ
อดีตแกนนำ นปช. ระบุต่อว่า ศึกภายในพรรคร่วม ประหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ฉายภาพ ‘สุชาติ’ นั่งเก้าอี้สภาฯ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นนายกฯ ไม่ว่าจะวิธีการใดๆ ก็ตามทุกอย่างจะต่อเนื่อง
“ต้องจับดูในวันที่ 4 ก.ค. ถ้าเป็นสุชาติ นายกรัฐมนตรีจะมีชื่อประวิตร ฉะนั้นเวลาอ่านการเมืองเราใช้หลักการทั่วไปไม่ได้ มันเป็นออฟชันต่อเนื่องภายใต้สมการทางการเมือง ตามเจตจำนงต้อง ‘กลับบ้าน’ ผมเชื่อว่าผลลัพธ์ไม่เปลี่ยน”
เมื่อถามว่า จะมีใครยอมสละเก้าอี้ให้อีกฝ่ายได้นั่งหรือไม่ จตุพรตอบข้าพเจ้าไม่ตรงคำถาม แต่ยกกรณีที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กับสื่อ กรณี ‘การคลุมถุงชน’ เป็นสัจจะธรรมที่ชัดเจนที่สุด แยกกันมันไม่ได้ แต่ปลายทาง ‘พิธา’ จะไม่ได้เป็นนายกฯ และ ‘ปดิพัทธ์’ จะไม่ได้เป็นประธานสภาฯ พร้อมฟันธงว่าพรรคก้าวไกลจะกลายเป็น ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ต้องตัดสินใจ เพราะจะเกิดปรากฎการณ์ ‘งูเห่าระบาด’ เขาเปรียบประหนึ่งว่า ‘สวนงูสถานเสาวภาแตก’ มี ส.ส. จำนวนมากของพรรคเพื่อไทย ลงมติเลือกพลเอกประวิตรเป็นนายกฯ
ดังนั้น มองข้ามช็อตไปที่วันโหวตเลือกนายกฯ หากเกิดกรณี ‘ด้อมส้ม’ ลงถนนกดดัน ส.ส.- ส.ว. หรือจัดการชุมนุม โดยมีวาระ 112 บนไฮต์ปาร์ค ก็จะมีเหตุปะทะระหว่างม็อบ ยิ่งเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ ‘บิ๊กป้อม’ เข้ามา ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’
“คนที่ออกมาจากพลังประชารัฐมาเพื่อไทย เขามีภารกิจทั้งนั้น เขาต้องการแลนด์สไลด์แต่ไม่สำเร็จ ก็ต้องมีการแต่งตัวใหม่เล็กน้อย แต่จุดมุ่งหมายยังไม่เปลี่ยน ทุกอย่างก็จะเป็นเช่นนี้ ” จตุพร กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ดี ล่าสุดพรรคเพื่อไทย ได้เสนอชื่อคนกลาง อย่าง ‘วันมูหะมัดนอร์ มะทา’ หัวหน้าพรรคประชาชาติ ลงชิงตำแหน่งประธานสภาฯ เพื่อเป็นทางออกสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นต้องจับตาดูกันต่อไปว่า กระดานหมากทางการเมืองของพรรคพันธมิตรทั้ง 8 จะยังอยู่ครบ ร่วมวงไพบูลย์กันตลอดรอดฝั่ง เข้าเส้นชัย ‘รัฐบาลในฝัน’ ได้หรือไม่...
จตุพร ยังยืนยันแนวคิดเดิมที่เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวก่อนหน้านี้ ว่า ‘ก้าวไกล จะไม่ได้ครอบครองทั้งตำแหน่งประธานสภาฯ และเก้าอี้นายกฯ’ อย่างตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ถูกวางตัวไว้ให้เป็น ‘สุชาติ ตันเจริญ’ ตามเกมที่สื่อมวลชนสันนิษฐาน ถึงกรณีการย้ายจาก ‘พลังประชารัฐ’ กลับมายัง ‘เพื่อไทย’ สามารถจับสังเกตได้จาก กรณีที่ ‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ ให้สัมภาษณ์กลับไปกลับมาหลายครั้ง
“อย่างที่ผมเคยบอกว่า ต่อให้ไม่มีใครยอมถอย หรือมีคนยอมสละเก้า สุดท้ายก็ได้ สุชาติ ตันเจริญ ต่อให้พรรคเพื่อไทยไม่เสนอสุชาติ ก็จะยังได้สุชาติ ผลลัพธ์ไม่เปลี่ยนแม้จะมีการเจรจาอย่างไร ผมกล้าที่จะแทงอย่างนี้”
จตุพร เปรียบเปรยว่าการทำนายของเขา เป็นการ ‘เล่นไฮโล’ ประหนึ่งแทงก่อนที่เจ้ามือจะเขย่า หากไม่เป็นตามที่สันนิษฐาน จะต้องมีภาพ ‘พ่อมดดำ’ ออกมาแถลงข่าวแล้ว ส่วนตัวเปิดประเด็นนี้มา 2 สัปดาห์แล้วแต่ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหว พบเพียงแต่ข้อพิรุธอย่างการรายงานตัว ส.ส. ที่ ‘เจ้าพ่อฉะเชิงเทรา’ แยกไปตัวดำเนินการเองเพื่อหลบหลีกสื่อ
อดีตแกนนำ นปช. ระบุต่อว่า ศึกภายในพรรคร่วม ประหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ฉายภาพ ‘สุชาติ’ นั่งเก้าอี้สภาฯ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นนายกฯ ไม่ว่าจะวิธีการใดๆ ก็ตามทุกอย่างจะต่อเนื่อง
“ต้องจับดูในวันที่ 4 ก.ค. ถ้าเป็นสุชาติ นายกรัฐมนตรีจะมีชื่อประวิตร ฉะนั้นเวลาอ่านการเมืองเราใช้หลักการทั่วไปไม่ได้ มันเป็นออฟชันต่อเนื่องภายใต้สมการทางการเมือง ตามเจตจำนงต้อง ‘กลับบ้าน’ ผมเชื่อว่าผลลัพธ์ไม่เปลี่ยน”
เมื่อถามว่า จะมีใครยอมสละเก้าอี้ให้อีกฝ่ายได้นั่งหรือไม่ จตุพรตอบข้าพเจ้าไม่ตรงคำถาม แต่ยกกรณีที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กับสื่อ กรณี ‘การคลุมถุงชน’ เป็นสัจจะธรรมที่ชัดเจนที่สุด แยกกันมันไม่ได้ แต่ปลายทาง ‘พิธา’ จะไม่ได้เป็นนายกฯ และ ‘ปดิพัทธ์’ จะไม่ได้เป็นประธานสภาฯ พร้อมฟันธงว่าพรรคก้าวไกลจะกลายเป็น ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ต้องตัดสินใจ เพราะจะเกิดปรากฎการณ์ ‘งูเห่าระบาด’ เขาเปรียบประหนึ่งว่า ‘สวนงูสถานเสาวภาแตก’ มี ส.ส. จำนวนมากของพรรคเพื่อไทย ลงมติเลือกพลเอกประวิตรเป็นนายกฯ
ดังนั้น มองข้ามช็อตไปที่วันโหวตเลือกนายกฯ หากเกิดกรณี ‘ด้อมส้ม’ ลงถนนกดดัน ส.ส.- ส.ว. หรือจัดการชุมนุม โดยมีวาระ 112 บนไฮต์ปาร์ค ก็จะมีเหตุปะทะระหว่างม็อบ ยิ่งเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ ‘บิ๊กป้อม’ เข้ามา ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’
“คนที่ออกมาจากพลังประชารัฐมาเพื่อไทย เขามีภารกิจทั้งนั้น เขาต้องการแลนด์สไลด์แต่ไม่สำเร็จ ก็ต้องมีการแต่งตัวใหม่เล็กน้อย แต่จุดมุ่งหมายยังไม่เปลี่ยน ทุกอย่างก็จะเป็นเช่นนี้ ” จตุพร กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ดี ล่าสุดพรรคเพื่อไทย ได้เสนอชื่อคนกลาง อย่าง ‘วันมูหะมัดนอร์ มะทา’ หัวหน้าพรรคประชาชาติ ลงชิงตำแหน่งประธานสภาฯ เพื่อเป็นทางออกสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นต้องจับตาดูกันต่อไปว่า กระดานหมากทางการเมืองของพรรคพันธมิตรทั้ง 8 จะยังอยู่ครบ ร่วมวงไพบูลย์กันตลอดรอดฝั่ง เข้าเส้นชัย ‘รัฐบาลในฝัน’ ได้หรือไม่...
