‘สกลธี ภัททิยกุล’ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง หลังลาออกไปลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดยในครั้งนี้ สกลธี ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการเลือกตั้งพื้นที่ กทม. ของ พปชร. โดย สกลธี ให้สัมภาษณ์ ว่า ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพสำหรับพรรคพลังประชารัฐ ตนได้บอกกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าการเลือกตั้งในพื้นที่ กทม.ครั้งนี้ไม่ง่าย เพราะครั้งนี้หลายพรรคมีตัวผู้สมัครที่ดี และหลายพรรคก็ส่งผู้สมัครหลายคน ดังนั้นโอกาสจึงมีกับทุกพรรค เพราะฉะนั้นแนวในการทำงาน พล.อ.ประวิตร ได้ให้อิสระตนเต็มที่ ซึ่งครั้งที่แล้วตนได้ลาออกจากพรรคพลังประชารัฐเพื่อไปลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. เพื่อให้อิสระจริงๆ เพื่อให้เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เพราะตนเคยเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. มาก่อน
ดังนั้นในพื้นที่ กทม. ครั้งนี้ จึงสู้ในเรื่องของนโยบายและเรื่องของกระแสเพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าตัวผู้สมัครก็สำคัญหลังจากที่ระบบการเลือกตั้งเป็นแบบบัตร 2 ใบ ไม่ใช่ใบเดียว ทำให้บริบทของกรุงเทพฯ จึงคาดเดายาก ดังนั้นในเรื่องของกระแสและนโยบายจึงมีส่วนสำคัญอย่างสูง ความอิสระที่ พล.อ.ประวิตร ให้กับตนนั้น ก็จะทำให้ตนสามารถไปดึงคนที่เคยช่วยกันสมัยลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. มาช่วยกันทำงานเต็มที่ด้วย
เมื่อถามว่าในสนาม กทม. กับพรรคอื่นๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งสิ้น สกลธี กล่าวว่า ส่วนใหญ่ฐานเสียงก็จะทับกัน จึงขึ้นอยู่กับผู้สมัครและนโยบายดังนั้นตนก็จะใช้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีทั้งหมด เพราะเคยเป็น รองผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ส. กทม. รวมทั้งนำนโยบายจากตอนสมัครผู้ว่าฯ กทม. มาต่อยอด และนำมารวมกับนโยบายสำคัญของแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ที่จะมาช่วยกันระดมสมองเพื่อตอบโจทย์ชาวกรุงเทพฯ
ส่วนที่กองเชียร์อยากให้สกลธีไปทาง พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า พล.อ.ประวิตร นั้น สกลธี กล่าวว่า อันนี้ปฎิเสธไม่ได้ว่าเดิมทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ด้วยกัน ซึ่งตอนก็ทราบดีว่าคนที่เชียร์ตนก็เป็นคนที่ชื่นชอบนายกรัฐมนตรี ตามที่ตนได้ชี้แจงแล้วว่าก็ถึงจุดที่ตนต้องตัดสินใจและตนก็คิดว่าที่พรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประวิตร ให้อิสระกับตน ให้ทำได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้อีกว่าคนที่เคยเชียร์ตนก็รู้สึกผิดหวัง ทำไมไม่ไปช่วยท่านนายกฯ แต่ขอยืนยันว่ายังคงเคารพ พล.อ.ประยุทธ์ รักคนที่เคยทำงานร่วมกันมาทั้งหมด
เมื่อถามว่ากลัวจะเสียฐานเสียงในส่วนนี้หรือไม่ สกลธี กล่าวว่า ตนขอยอมรับว่าก็คงจะมี แต่เมื่อตอนตัดสินใจมาแล้วก็มีโอกาสเปลี่ยนได้ เพราะในกรุงเทพฯ ยังไม่สามารถนับจากวันออกสตาร์ทได้เพราะเราก็เห็นในหลายการเลือกตั้งสนามกรุงเทพฯ ที่จะชี้ขาดในวันสุดท้าย แม้แต่ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หลายคนก็เคยบอกกับตนว่าจะไม่ถึง 50,000 คะแนน แต่ในช่วงสุดท้ายก็มีกระแสและการกระตุ้นขึ้นมา โดยตนมองว่าครั้งนี้มีผู้สมัครหลายพรรค ซึ่งจะตัดคะแนนกันเยอะ จึงยังวัดอะไรไม่ได้ตอนนี้
ดังนั้นในพื้นที่ กทม. ครั้งนี้ จึงสู้ในเรื่องของนโยบายและเรื่องของกระแสเพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าตัวผู้สมัครก็สำคัญหลังจากที่ระบบการเลือกตั้งเป็นแบบบัตร 2 ใบ ไม่ใช่ใบเดียว ทำให้บริบทของกรุงเทพฯ จึงคาดเดายาก ดังนั้นในเรื่องของกระแสและนโยบายจึงมีส่วนสำคัญอย่างสูง ความอิสระที่ พล.อ.ประวิตร ให้กับตนนั้น ก็จะทำให้ตนสามารถไปดึงคนที่เคยช่วยกันสมัยลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. มาช่วยกันทำงานเต็มที่ด้วย
เมื่อถามว่าในสนาม กทม. กับพรรคอื่นๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งสิ้น สกลธี กล่าวว่า ส่วนใหญ่ฐานเสียงก็จะทับกัน จึงขึ้นอยู่กับผู้สมัครและนโยบายดังนั้นตนก็จะใช้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีทั้งหมด เพราะเคยเป็น รองผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ส. กทม. รวมทั้งนำนโยบายจากตอนสมัครผู้ว่าฯ กทม. มาต่อยอด และนำมารวมกับนโยบายสำคัญของแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ที่จะมาช่วยกันระดมสมองเพื่อตอบโจทย์ชาวกรุงเทพฯ
ส่วนที่กองเชียร์อยากให้สกลธีไปทาง พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า พล.อ.ประวิตร นั้น สกลธี กล่าวว่า อันนี้ปฎิเสธไม่ได้ว่าเดิมทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ด้วยกัน ซึ่งตอนก็ทราบดีว่าคนที่เชียร์ตนก็เป็นคนที่ชื่นชอบนายกรัฐมนตรี ตามที่ตนได้ชี้แจงแล้วว่าก็ถึงจุดที่ตนต้องตัดสินใจและตนก็คิดว่าที่พรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประวิตร ให้อิสระกับตน ให้ทำได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้อีกว่าคนที่เคยเชียร์ตนก็รู้สึกผิดหวัง ทำไมไม่ไปช่วยท่านนายกฯ แต่ขอยืนยันว่ายังคงเคารพ พล.อ.ประยุทธ์ รักคนที่เคยทำงานร่วมกันมาทั้งหมด
เมื่อถามว่ากลัวจะเสียฐานเสียงในส่วนนี้หรือไม่ สกลธี กล่าวว่า ตนขอยอมรับว่าก็คงจะมี แต่เมื่อตอนตัดสินใจมาแล้วก็มีโอกาสเปลี่ยนได้ เพราะในกรุงเทพฯ ยังไม่สามารถนับจากวันออกสตาร์ทได้เพราะเราก็เห็นในหลายการเลือกตั้งสนามกรุงเทพฯ ที่จะชี้ขาดในวันสุดท้าย แม้แต่ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หลายคนก็เคยบอกกับตนว่าจะไม่ถึง 50,000 คะแนน แต่ในช่วงสุดท้ายก็มีกระแสและการกระตุ้นขึ้นมา โดยตนมองว่าครั้งนี้มีผู้สมัครหลายพรรค ซึ่งจะตัดคะแนนกันเยอะ จึงยังวัดอะไรไม่ได้ตอนนี้
