วิถีแห่งคาสิโนโบราณกับ ‘นายอากรเส็ง’ บรรพบุรุษของ ‘ทักษิณ’

18 ม.ค. 2566 - 05:53

  • ทวดของ ทักษิณ ชินวัตร ทำอาชีพเป็นนายอากรบ่อนเบี้ย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำบ่อนพนันและเก็บรายได้ส่งให้รัฐ

  • คนจีนมากมายในยุคนั้นมีรายได้จากการทำแบบนี้ แต่มีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาต้องวางมือจากอาชีพนายบ่อน

Thaksin-ancestor-who-ran-a-tax-farming-business-and-casino-SPACEBAR-Thumbnail
ในหนังสือ ‘ทักษิณ ชินวัตร ตาดูดาว เท้าติดดิน’ เล่าย้อนกลับไปถึงยุคที่บรรพบุรุษตระกูลชินวัตร คือ ทวดของทักษิณ ชินวัตร ที่ชื่อ คูชุนเส็ง (บางแห่งเขียนว่า คูซุ่นเส็ง) เดินทางจากจีนมาแสวงหาโอกาสใหม่ในชีวิตที่ประเทศสยาม และอาชีพที่ คูชุนเส็ง ทำในเวลานั้น คือ ‘นายอากรบ่อนเบี้ย’ ที่จังหวัดจันทบุรี เมื่อปี 2451 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5  

ต่อมา คูชุนเส็ง หรือ ‘นายอากรเส็ง’ แต่งงานกับหญิงไทยที่ชื่อ ทองดี และมีลูกชายคนหนึ่งชื่อ เชียง ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของทักษิณ ชินวัตร ในเวลานั้น คูชุนเส็ง มองหาลู่ทางใหม่ๆ ในชีวิตโดยนั่งเรือทวนกระแสน้ำขึ้นมาถึงเชียงใหม่ และเมื่อถึงเชียงใหม่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนจีนด้วยกันที่เป็นข้าราชการในท้องถิ่น คือ หลวงนิกรจีนกิจ ให้ไปประมูลอากรบ่อนเบี้ย ที่อำเภอแม่ริม อำเภอสันทราย และอำเภอดอยสะเก็ด 

แต่เกิดเหตุพลิกผันในชีวิตเมื่อทวดหญิงของทักษิณ คือ ทองดี ถูกลอบยิง (บางข้อมูลบอกว่าไม่ได้ถูกยิง แต่หัวใจวายขณะถูกปล้น) ขณะไปเก็บอากรจนเสียชีวิตไป ทวดชาย คือ คูชุนเส็ง จึงตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพไปทำอาชีพค้าขายแทน 

นี่คือจุดเริ่มต้นของตระกูลชินวัตร (ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ได้ใช้นามสกุลชินวัตร) ที่เริ่มจากอาชีพนายอากรบ่อนเบี้ย ต่อมาประสบกับการถูกคุกคามจึงต้องเปลี่ยนอาชีพ จนกระทั่งพบว่าการค้าผ้าไหมสร้างความเจริญรุ่งเรืองที่สุด คนบ้านชินวัตรจึงทำผ้าไหมจนมีชื่อเสียงโด่งดังและร่ำรวยในเวลาต่อมา  

ที่มาที่ไปของบ้านชินวัตรนั้นเป็นตำนานบทหนึ่งของชนชั้นนายทุนจีนในล้านนา ผู้ทรงอิทธิพลทั้งในด้านการค้า (เป็นคนกลางซื้อขายระหว่างเมืองเหนือและบางกอก) และการคลัง (คือการทำบ่อนแล้วส่งเงินเข้ารัฐในรูปภาษี) เรื่องราวของนายอากรเส็งมีละเอียดลออว่านี้ในหนังสือ ‘เพ็ชร์ล้านนา’ งานเขียนว่าด้วยเรื่องราวคนและเมืองเชียงใหม่อันทรงคุณค่าของ ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง ซึ่งตีพิมพ์ก่อนหน้า ‘ทักษิณ ชินวัตร ตาดูดาว เท้าติดดิน’ นานหลายสิบปี คือ 2507 และยังมีเรื่องราวของนายอากรเส็งอยู่ในหนังสือของผู้เขียนเดียวกัน ชื่อ ‘ผู้บุกเบิกแห่งเชียงใหม่’ ที่ตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2523 

นั่นหมายความว่าต้นตระกูลชินวัตรผู้เป็นนายอากรบ่อนเบี้ยนั้น เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก่อนหน้าเหลนที่ชื่อ ทักษิณ นานมากแล้ว 

คนไทยเสพติดการพนัน

เรื่องของบ้านชินวัตรกับเส้นทางการสร้างตัวยังมีอะไรให้พูดถึงอีกมาก โดยเฉพาะในสายของ บุญเลิศ ชินวัตร พ่อของทักษิณ ชินวัตร ที่ตัดสินใจกระโจนเข้าสู่เวทีการเมืองจนได้เป็น สส. เชียงใหม่ กลายเป็นการปูทางชีวิตการเมืองให้กับลูกชายของเขาโดยไม่ตั้งใจใจเวลาต่อมา 

แต่สิ่งที่เราจะพูดถึงในบทความนี้คือจุดเริ่มต้นของบ้านชินวัตรในฐานะนายอากรบ่อนเบี้ย เพราะมันเป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมลึกๆ ของคนไทยมากที่สุด นั่นคือ ‘ความเป็นนักพนันอยู่ในสายเลือด’ 

นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริง เพราะ ‘มองสิเออร์ เดอ ลาลูแบร์’ (Monsieur De La Loubere) ทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ปี พ.ศ.2230 ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความหมกมุ่นในการพนันของชาวสยามเอาไว้ว่า 

“ชาวสยามอยู่ข้างค่อนรักเล่นการพนันเสียเหลือเกิน จนถึงจะยอมผลาญตัวเองให้ฉิบหายได้ ทั้งเสียอิสรภาพความชอบธรรมของตัวหรือลูกเต้าของตัว ด้วยในเมืองนี้ใครไม่มีเงินพอจะใช้เจ้าหนี้ได้ก็ต้องขายลูกเต้าของตัวเองลงใช้หนี้สิน และถ้าแม้ถึงเช่นนี้แล้วก็ยังมิพอเพียง ตัวของตัวเองก็ต้องกลายตกเป็นทาส การละเล่นพนันที่ไทยรักเป็นที่สุดนั้นก็คือ ติกแตก ชาวสยามเรียกว่า สะกา...”  

ความหมกมุ่นในการพนันของประชาชนชาวสยามเป็นเรื่องหนักใจของรัฐบาลมาทุกยุค แต่ในเวลาเดียวกันรัฐบาลก็ต้องยอมรับว่าการพนันคือแหล่งหาเงินเข้ารัฐได้อย่างดี วิธีการหาเงินเข้ารัฐก็คือให้คนทั่วไปมาประมูลแข่งกัน ใครเสนอราคาประมูลว่าจะเก็บภาษีอากรส่งให้รัฐได้มากที่สุดก็ชนะประมูลไป ถามว่าประมูลอะไร? ตอบว่า คือการประมูลการเป็นผู้จัดการบ่อนนั่นเอง พูดภาษาชาวบ้านคือเป็นเจ้ามือบ่อน 

คนเก็บภาษีผู้เปิดบ่อน 

ในตอนแรกนั้น รัฐกลัวคนไทยจะเสพติดการพนันจนไม่เป็นอันทำอะไร จึงอนุญาตให้เปิดบ่อนเฉพาะคนจีนในประเทศสยามเท่านั้น เพราะคนจีนที่มาทำมาหากินที่สยามเวลาว่างๆ ก็มักจะเปิดบ่อนเดิมพันเหมือนคนไทย ทางการเห็นโอกาสจะหาเงินเข้ารัฐจึงเปิดประมูลทำบ่อน คนที่ประมูลได้เรียกว่า ‘นายอากรบ่อนเบี้ย’ 

ในหนังสือ ‘ตำนานการเลิกอากรบ่อนเบี้ยและหวย’ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เล่าว่าตอนแรกรับเฉพาะคนจีนเข้าบ่อน แต่ “ปรากฏว่าห้ามไทยไว้ไม่อยู่” จึง “ยอมให้ไทยเข้าเล่นเบี้ยในบ่อนได้ไม่ห้ามปราม” เงินจากการทำบ่อนจึงไหลบ่าเข้ารัฐอย่างมากมายมหาศาล จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 รายได้จากการประมูลทำบ่อนหรือเก็บภาษีจากบ่อนสูงถึง 900,000 บาทต่อไป  

เงิน 900,000 บาทในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อลองบวกลบกับอัตราเงินเฟ้อแล้วคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงในสมัยนี้ จะมีมูลค่าประมาณ 34 ล้านบาท  

คำว่า ‘นายอากร’ หมายถึงผู้ที่เก็บภาษี ส่วนคำว่า ‘บ่อนเบี้ย’ ก็คือบ่อนการพนัน รวมแล้วคำๆ นี้หมายถึงเจ้าของบ่อนที่เปิดบริการการพนัน มีรายได้จากการเป็นเจ้ามือ รายได้นั้นจะแบ่งให้รัฐในรูปของภาษีตามที่เสนอราคาประมูลเปิดบ่อน เช่น นายอากรบ่อนเบี้ย A เสนอประมูลว่าจะส่งเงินให้รัฐปีละ 1,000 บาท แล้วชนะประมูลเพราะคนอื่นเสนอราคาต่ำกว่า เมื่อได้ใบอนุญาตแล้ว นายอากรบ่อนเบี้ย A เป็นเจ้ามือบ่อนทำเงินได้ 2,000 บาท ก็จะส่งให้รัฐ 1,000 บาท ที่เหลือเป็นกำไรของตัวเอง นี่คือวิธีการหาเงินของนายอากรบ่อนเบี้ยและรัฐบาลสยาม 

ถามอีกครั้งว่าทำไมถึงต้องเก็บภาษีด้วยวิธีนี้? นั่นก็เพราะมันเป็นการเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ปกติคนสยามจะเสีบยภาษีอากรรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ภาษีที่ดินไปจนถึงภาษีผลิตจากไร่นา ไปจนถึงส่วยที่จ่ายแทนการถูกเกณฑ์แรงงานโดยรัฐ แต่รายได้พวกนี้มีมูลค่าต่ำมากและยังขึ้นกับการผลิตในสังคมกสิกรรม เพราะสังคมสยามยังไม่พัฒนากลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมที่ประชาชนมีรายได้ประจำและทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้น้อย และบางครั้งประชาชนยังเก็บเงินเอาไว้ในตุ่มในไหฝังดินซ่อนไว้ไม่ยอมใช้จ่าย ทำให้เงินในระบบขาดแคลน เศรษฐกิจของประเทศก็ฝืดเคือง  

รัฐจึงต้องหาวิธีในการ ‘รีดเงิน’ จากประชาชนโดยไม่ให้ประชาชนรู้สึกว่ารัฐรังแก วิธีการที่ดีที่สุดคือดึงเงินจากการพนันที่คนสยามหลงไหล เมื่อคนสยามเข้าบ่อนที่ดำเนินการโดยนายภาษี พวกเขาก็เท่ากัจ่ายภาษีเข้ารัฐโดยไม่รู้ตัว ด้วยวิธีนี้ รัฐบาลสยามในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงสามารถแก้ปัญหาเงินฝืดได้ โดยใช้การพนันล่อให้ประชาชนนำเงินที่แอบฝังไว้ออกมาแทงในบ่อนนั่นเอง 

รัฐรวย จีนรวย คนสยามซวย

แต่รัฐบาลตระหนักดีว่าการเก็บภาษีแบบนี้เป็นการบ่อยทำลายประชาชนตัวเอง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงยอมรับว่า การเปิดบ่อนเบี้ยเป็นวิธีเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพก็จริง แต่มันทำลายคุณภาพชีวิตประชาชนและทำให้ประชาชนยากจนลง อย่างเช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จไปประพาสต่างจังหวัดแล้วทรงสังเกตเห็นราษฎรพากันยากจนลงไป จึงโปรดให้เลิกหวยที่เมืองเพชรบุรี และที่พระนครศรีอยุธยาเสีย 

อีกประเด็นก็คือ นายอากรบ่อนเบี้ยที่เป็นคนจีนมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจมากขึ้นเพราะผูกขาดการเก็บภาษีและการทำบ่อน อิทธิพลนี้ทำให้รัฐบาลเริ่มกังวล จึงต้องทำการปฏิรูปภาษีให้ทันสมัย ในเวลาต่อมาเมื่อมีการจัดเก็บภาษีแบบตะวันตกแล้ว (จัดตั้งกรมสรรพากร) จำนวนบ่อนในประเทศสยามก็ลดลงเรื่อยๆ  

กลับไปที่อิทธิพลของนายอากรชาวจีนที่เพิ่มขึ้นเพราะผลจากการเปิดบ่อน นอกจากจะสร้างความระแวงให้กับรัฐบาลสยามแล้ว มันยังเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิตอยู่เหมือนกัน เพราะนายอากรบ่อนเบี้ยต้องทำงานกับพวก ‘ผีพนัน’ รัฐบาลจึงให้นายอากรมีอำนาจจับผู้ที่ก่อเหตุวุ่นวายในบริเวณโรงบ่อนกักขังไว้ได้เมื่อก่อนส่งตัวต่อเจ้าพนักงาน และยังมีอำนาจจับกุมตัวคนที่ลักลอบเปิดบ่อนในพื้นที่ที่นายอาภรได้รับสัมปทานได้ด้วย (เช่น ถ้าได้สัมปทานหมู่บ้าน A ในหมู่บ้าน A ห้ามใครเล่นการพนันกันเอง เว้นแต่จะเสียเงินให้นายอากร) อำนาจเหล่านี้ เสียงที่จะทำให้นายอากรสร้างศัตรูได้พอสมควรเลย 

นอกจากจะสร้างศัตรูได้ง่ายแล้ว นายอากรยังเป็นเป้าหมายของพวกโจรเอาง่ายๆ อีกด้วย มีบางครั้งที่นายอากรถูกปล้นจนหมดตัว ทรัพย์สินของตัวเองก็หมด แถมไม่มีเงินจะจ่ายภาษีให้รัฐ ถึงขั้นต้องสิ้นเนื้อประดาตัว  

ชีวิตของนายอากรเส็ง

คูชุนเส็ง หรือนายอากรเส็ง บรรพบุรุษของ ทักษิณ ชินวัตร เดิมตั้งรกรากอยู่ที่จันทบุรีมีอาชีพเป็นนายอากรคอยเก็บภาษีจากการเปิดบ่อนในพื้นที่ ต่อมาได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ตลาดน้อย กรุงเทพฯ แล้วทำอาชีพค้าขายตามคำแนะนำของญาติพี่น้อง แต่ต่อมาก็เป็นญาติในกรุงเทพฯ นี่เองที่แนะนำให้ คูชุนเส็ง ไปทำงานเป็นนายอากรผูกขาดการเก็บภาษีบ่อนเบี้ยอีกครั้ง คราวนี้อพยพกันไปอยู่ที่เชียงใหม่  

ด้วยความช่วยเหลือจากหลวงนิกรจีนกิจ (หมา นิกรพันธุ์) ช่วยประสานงานให้ คูชุนเส็ง กับภรรยาได้ทำงานเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยที่เชียงใหม่ ดูแลบ่อนและเก็บเงินส่งเป็นภาษีเข้ารัฐในพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอแม่ริม และอำเภอสันทราย โดยผู้ที่ทำหน้าที่คอยเก็บภาษีก็คือ คุณนายทองดี ผู้เป็นภรรยา ซึ่งคุ้นเคยกับงานนี้มาแล้วตั้งแต่ที่จันทบุรี  

แต่วันหนึ่ง คุณนายทองดีนั่งเกวียนไปพร้อมกับลูกน้องเดินทางไปเก็บภาษีที่อำเภอแม่ริม มีกลุ่มคนร้ายบุกเข้ามาปล้นเงินค่าบ่อนเบี้ยจำนวนไม่น้อยจากคุณนายไป ด้วยความตกใจทำให้คุณนายทองดีเกิดอาการหัวใจวายจนเสียชีวิต โดยที่คนร้ายไม่ได้ลงมือทำร้ายแต่อย่างใด ส่วนลูกน้องของคุณนายทองดีได้หลบหนีไปจากที่เกิดเหตุจึงไม่ได้รับอันตราย  

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปลายรัชกาลที่ 5 หลังจากนั้น คูชุนเส็ง ก็วางมือจากการเป็นนายอากรบ่อนเบี้ย และอพยพครอบครัวจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตั้งรกรากที่อำเภอสันกำแพง แต่ถึง คูชุนเส็ง ไม่วางมือจากอาชีพนี้ ในท้ายที่สุดก็ต้องถูกยุคสมัยบีบให้วางมืออยู่ดี เพราะรัฐบาลสยามปฏิรูปการเก็บภาษีไปเรื่อยๆ และอีกไม่กี่ปีต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ความระแวงอิทธิพลคนจีนจะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ  

เมื่อยุติการเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยแล้วไปตั้งรกรากที่สันกำแพง ที่นี่เองที่คนในบ้านชินวัตรสร้างชื่อขึ้นในในฐานะเจ้าของธุรกิจผ้าไหม ‘ชินวัตรไหมไทย’ เริ่มตั้งแต่ยุคของ เชียงและแสง ชินวัตร บุตรชายและสะใภ้ของ คูชุนเส็งกับคุณนายทองดี 

ในบรรดาลูกๆ ของเชียงและแสง ชินวัตร มีคนหนึ่งชื่อว่า บุญเลิศ ชินวัตร ลูกชายคนนี้ต่อมาจะได้เป็น ส.ส. เชียงใหม่  

และมีลูกชายคนหนึ่งชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร ที่ต่อมาจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรี

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์