‘ชัชชาติ’ น้อมรับคำวิจารณ์ ‘ใหญ่ๆ ไม่ เล็กๆ ทำ’ บอก เป็นไปตามนโยบาย เน้นเส้นเลือดฝอย ชี้ Traffy Fondue ตัวเปลี่ยนเกม กทม. ทำ ขรก.ตื่นตัวแก้ไขโดยไม่ต้องสั่งการ ยอมรับ แก้คอร์รัปชันยากสุด แต่ต้องทำให้ประชาชนไว้ใจ
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมคณะผู้บริหาร กทม.แถลงผลการทำงาน 1 ปี 9 ด้าน 9 ดี ‘365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ โดยชัชชาติ กล่าวเริ่มต้นว่า 1 ปีผ่านไปรวดเร็ว ถือเป็น 365 วันที่สนุกและมีพลัง ซึ่งพลังยังเหลือเฝือก ย้ำว่า ไม่ใช่ผลงานชัชชาติ แต่เป็นผลงานของทีมที่ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งนี้ Key driver หลักใน 1 ปีแรกมี 5 เรื่อง ได้แก่
1.เปลี่ยนวิธีการทำงานโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพราะเส้นเลือดฝอย เป็นนโยบายที่พูดตั้งแต่หาเสียงว่า กทม.อ่อนแอตรงที่เส้นเลือดฝอย แต่เราไม่ละเลยเส้นเลือดใหญ่ จะต้องประสานกันให้เข้มแข็ง
2.เปลี่ยนวิธีการทำงานโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผู้บริหารจะต้องลงพื้นที่และทำตัวเป็นตัวอย่างในการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน
3.การใช้เทคโนโลยี เข้ามาช่วยขับเคลื่อนการทำงาน เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีจะเป็นตัวเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพในอนาคต เช่น Traffy Fondue การให้ใบอนุญาตออนไลน์ เทคโนโลยีจะมาเปลี่ยนการทำงานของเรา
4.ให้ความสำคัญเรื่องความโปร่งใส เริ่มตั้งแต่ Mind set ของผู้บริหาร ไม่มีการเรียกเก็บส่วย เก็บเงินใดๆ
5.สร้างภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเมือง
ชัชชาติ กล่าวอีกว่า จาก 216 นโยบาย ขยายสู่ 226 นโยบาย เริ่มดำเนินการแล้ว 211 นโยบาย มี 11 นโยบายที่ยังไม่ดำเนินการ และ 4 นโยบายยุติการดำเนินการ เพราะบางเรื่องไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง เช่น ห้องให้นมบุตร ห้องสมุดเคลื่อนที่ในชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้ การทำงานช่วงปีแรก เป็นปีของการทำแซนบ๊อก ไม่สามารถนำนโยบายใหม่ไปทำทั้งหมดใน กทม.ได้ จึงทำต้นแบบเล็กๆ ก่อน จากนั้น ปี 2-3 จะกระจายมากขึ้น ขยายสเกลมากยิ่งขึ้น และจะประสบความสำเร็จในปีที่ 4 ส่วนที่คนชอบบอกว่า ไม่มีโครงการขนาดใหญ่เลย นั่นเพราะโครงการขนาดใหญ่ไม่สามารถทำได้ใน 1 ปี หลายเรื่องเป็นวางแผนต่อเนื่องจากผู้ว่าฯกทม.คนก่อน จึงเป็นผลงานของ กทม. ไม่ใช่ผลงานชัชชาติ
จากนั้น ชัชชาติ ได้นำเสนอการทำงาน 9 ด้าน 9 ดี ประกอบด้วย
1.ปลอดภัยดี ได้แก้ปัญหาไฟฟ้าดับ 28,000 ดวง เปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอด LED 11,400 ดวง ติดตั้งกล้องป้องกันภัยอาชญากรรมเพิ่มอีก ปรับระบบการขอภาพจากกล้อง CCTV ให้ขอได้ภายใน 24 ชั่วโมง ตรวจสถานประกอบการกลางคืน นำแบบแปลนอาคารเข้าระบบ รวบรวมฐานข้อมูลเมืองเป็น 5 Risk map คือ จุดเสี่ยงน้ำท่วม อัคคีภัย ฝุ่น ทรัพย์สินและสารเคมี
2.โปร่งใสดี ด้วยการรายงานปัญหาโดยประชาชน แก้ปัญหาโดย กทม.ผ่านแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ซึ่งแก้ไขไปแล้ว 200,000 กว่าเรื่อง นอกจากนี้ยังเปิดเผยข้อมูลการจะซื้อจะจ้างทางออนไลน์ และยกระดับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการต่อต้านการทุจริต เปิดศูนย์ต่อต้านทุจริต กทม. เพิ่มช่องทางการรับเรื่องทุจริต เร่งรัดการสอบสวนและลงโทษผู้กระทำผิด
3.เศรษฐกิจดี เพิ่มโอกาสตลาดแรงงาน ฝึกอาชีพคนเมือง โดยเริ่มพัฒนาหลักสูตรฝึกอาชีพ เช่น หลักสูตรแม่บ้านโรงแรม ฝึกอบรมแม่บ้านเพื่อให้จบไปแล้วมีงานทันที นอกจากนี้ ยังนับเป็นครั้งแรกที่รับคนพิการเข้าเป็นข้าราชการ 9 คน
4.เดินทางดี เริ่มจากปรับปรุงทางเท้า ปรับทางเดินริมคลองแสนแสบ คืนทางเท้าให้ประชาชน 140 จุด คืนผิวจราจร สะพานเชื้อเพลิง สะพานข้ามแยก ณ ระนอง
5.สิ่งแวดล้อมดี เพิ่มพื้นที่สีเขียว ปลูกต้นไม้แล้ว 400,000 ต้น มี Pet park 5 แห่ง น้องๆ มาใช้บริการแล้ว 4,500 ตัว ประชาชนและผู้ประกอบการร่วมโครงการแยกขยะกว่า 6,400 ราย ขยะลดลง 300-700 ตันต่อวัน
6.สุขภาพดี ส่งเสริมสุขภาพชุมชนทุกกลุ่ม มี 22 คลินิคเพศหลากหลาย นำร่องให้บริการ หมอถึงชุมชน Mobile medical unit ใน 104 ชุมชน ให้บริการ 4,000 ครั้ง
7.สังคมดี จดทะเบียนคนไร้บ้าน จนทำให้จำนวนคนไร้บ้านลดลง ลดเวลาในการออกบัตรคนพิการ
8.เรียนดี เพิ่มค่าอาหารกลางวันเด็ก เพิ่มค่าวัสดุอุปกรณ์ กทม.อุดหนุนค่าอาหาร-ค่าชุด 1,171 ล้านบาท แจกผ้าอนามัยให้กับนักเรียน 341 โรงเรียน 23,000 คน
9.บริหารจัดการดี จัดสรรงบประมาณปี 2566 กว่า 5,024 ล้านบาทลงไปที่เส้นเลือดฝอย จัดสรรงบ 200,000 บาทต่อชุมชน ที่ดินใน กทม. 99.42% ถูกประเมินเพื่อจัดเก็บภาษี จัดตั้งสภาเมืองคนรุ่นใหม่ เพิ่มการมีส่วนร่วม ทำประกันอุบัติเหตุให้พนักงานกวาดถนน
ชัชชาติ ย้ำว่า นโยบาย Traffy Fondue ทำให้ข้าราชการตื่นตัวอย่างแรง มีการทำงานระหว่างหน่วยงานอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งนโยบายดังกล่าว ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมของ กทม.เพราะวันแรกที่เปิด Traffy Fondue นั้น มีคนร้องเรียนมากว่า 20,000 เรื่อง ซึ่งปัจจุบันมีคนแจ้งเข้ามา 301,649 เรื่อง และแก้ไขไปแล้ว 217,930 เรื่อง โดยที่ตนไม่ต้องสั่งการ แต่ผู้อำนวยการเขตเป็นผู้ดำเนินการ และมีรองปลัด 6 คนที่ดูแลในแต่ละโซนที่จะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งจะต้องหารือกับรัฐบาลต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไรแบบไร้รอยต่อ ถือว่า ใช้งบประมาณแก้ไขเท่าเดิม แต่ดำเนินการได้เร็วขึ้น นี่คือการโปร่งใสเรื่องเวลา
ชัชชาติ ยืนยันว่า ยินดีรับฟังทุกอย่าง และพร้อมนำไปปรับปรุง ยอมรับว่า เรื่องทุจริตคอร์รัปชันยากที่สุด เพราะเป็นสารตั้งต้น ถ้าไม่โปร่งใส ประชาชนไม่ไว้ใจทุกอย่างก็ไม่ไปด้วยกัน เชื่อว่า ข้าราชการส่วนใหญ่เป็นคนดี ต้องเริ่มจากฝ่ายบริหารเป็นหลัก ถ้าทำตรงนี้ได้เงินจะเหลือไปทำเรื่องเรื่องอื่น และประชาชนจะไว้ใจ แล้วเริ่มรู้สึกว่า เราแก้ปัญหาให้เขาได้ ก็จะมีแนวร่วมกับเรา ซึ่งการที่ประชาชนไว้ใจนั้น มีค่ากว่างบประมาณอีก ดังนั้น ความโปร่งใสเป็นเรื่องที่ท้าทายและหยั่งรากฝังลึกมานาน อย่างโครงการ 200,000 บาทต่อชุมชน หลายคนกลัวเรื่องทุจริต จึงได้ร่วมกับ ป.ป.ช.ตั้งแต่ต้น ทำให้คนมั่นใจในการทำงานมากขึ้น
ส่วนที่ผ่านมาประชาชนมองว่า กทม.ไม่มีผลงานเลย จะปรับกลยุทธ์การสื่อสารอย่างไร ชัชชาติ กล่าวว่า จุดแข็งของ กทม.มีหน่วยงานแทรกซึมในชุมชน หากเอาจริงเอาจังก็แก้ปัญหาได้จริง ส่วนที่ถูกมองว่าไม่มีผลงาน ก็ต้องประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลให้มากขึ้น แต่ส่วนตัวอยากให้ประชาชนรู้สึกด้วยตัวเขาเองว่าชีวิตเขาดีขึ้น ไม่ต้องไปฟังใครบอก
เมื่อถามว่า คิดอย่างไรกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ระบุว่า ‘1 ปีชัชชาติ ใหญ่ๆ ไม่ เล็กๆ ทำ’ ชัชชาติ กล่าวว่า ก็ถูกต้อง เพราะปัญหาของ กทม.เป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีใครเคยสนใจ เงินงบประมาณเขี่ยไม่เคยลง แต่เราทำเรื่องเล็กๆ ที่ตอบโจทย์ประชาชน ถามว่าเรื่องใหญ่ทำหรือไม่ โครงการใหญ่ก็เดินหน้าตลอด ไม่มีหยุด แต่อาจจะไม่มีใครเห็นอย่างการทำอุโมงค์ก็อยู่ใต้ดิน อย่างที่บอกก็ต้องทำคู่ขนานไป ก็ดีใจที่คนบอกว่าทำเรื่องเล็ก เพราะนั่นคือนโยบายที่หาเสียงมาตั้งแต่ต้น ถ้าตนเข้ามาแล้วไม่ทำเรื่องเล็ก ก็ถือว่าโกหกประชาชนแล้ว เพราะเราพูดเรื่องเส้นเลือดฝอยตั้งแต่วันแรก แต่ก็ต้องทำคู่ขนานทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก ก็ยินดีน้อมรับทุกคำติ
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมคณะผู้บริหาร กทม.แถลงผลการทำงาน 1 ปี 9 ด้าน 9 ดี ‘365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ โดยชัชชาติ กล่าวเริ่มต้นว่า 1 ปีผ่านไปรวดเร็ว ถือเป็น 365 วันที่สนุกและมีพลัง ซึ่งพลังยังเหลือเฝือก ย้ำว่า ไม่ใช่ผลงานชัชชาติ แต่เป็นผลงานของทีมที่ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งนี้ Key driver หลักใน 1 ปีแรกมี 5 เรื่อง ได้แก่
1.เปลี่ยนวิธีการทำงานโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพราะเส้นเลือดฝอย เป็นนโยบายที่พูดตั้งแต่หาเสียงว่า กทม.อ่อนแอตรงที่เส้นเลือดฝอย แต่เราไม่ละเลยเส้นเลือดใหญ่ จะต้องประสานกันให้เข้มแข็ง
2.เปลี่ยนวิธีการทำงานโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผู้บริหารจะต้องลงพื้นที่และทำตัวเป็นตัวอย่างในการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน
3.การใช้เทคโนโลยี เข้ามาช่วยขับเคลื่อนการทำงาน เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีจะเป็นตัวเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพในอนาคต เช่น Traffy Fondue การให้ใบอนุญาตออนไลน์ เทคโนโลยีจะมาเปลี่ยนการทำงานของเรา
4.ให้ความสำคัญเรื่องความโปร่งใส เริ่มตั้งแต่ Mind set ของผู้บริหาร ไม่มีการเรียกเก็บส่วย เก็บเงินใดๆ
5.สร้างภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเมือง
ชัชชาติ กล่าวอีกว่า จาก 216 นโยบาย ขยายสู่ 226 นโยบาย เริ่มดำเนินการแล้ว 211 นโยบาย มี 11 นโยบายที่ยังไม่ดำเนินการ และ 4 นโยบายยุติการดำเนินการ เพราะบางเรื่องไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง เช่น ห้องให้นมบุตร ห้องสมุดเคลื่อนที่ในชุมชน เป็นต้น ทั้งนี้ การทำงานช่วงปีแรก เป็นปีของการทำแซนบ๊อก ไม่สามารถนำนโยบายใหม่ไปทำทั้งหมดใน กทม.ได้ จึงทำต้นแบบเล็กๆ ก่อน จากนั้น ปี 2-3 จะกระจายมากขึ้น ขยายสเกลมากยิ่งขึ้น และจะประสบความสำเร็จในปีที่ 4 ส่วนที่คนชอบบอกว่า ไม่มีโครงการขนาดใหญ่เลย นั่นเพราะโครงการขนาดใหญ่ไม่สามารถทำได้ใน 1 ปี หลายเรื่องเป็นวางแผนต่อเนื่องจากผู้ว่าฯกทม.คนก่อน จึงเป็นผลงานของ กทม. ไม่ใช่ผลงานชัชชาติ
จากนั้น ชัชชาติ ได้นำเสนอการทำงาน 9 ด้าน 9 ดี ประกอบด้วย
1.ปลอดภัยดี ได้แก้ปัญหาไฟฟ้าดับ 28,000 ดวง เปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอด LED 11,400 ดวง ติดตั้งกล้องป้องกันภัยอาชญากรรมเพิ่มอีก ปรับระบบการขอภาพจากกล้อง CCTV ให้ขอได้ภายใน 24 ชั่วโมง ตรวจสถานประกอบการกลางคืน นำแบบแปลนอาคารเข้าระบบ รวบรวมฐานข้อมูลเมืองเป็น 5 Risk map คือ จุดเสี่ยงน้ำท่วม อัคคีภัย ฝุ่น ทรัพย์สินและสารเคมี
2.โปร่งใสดี ด้วยการรายงานปัญหาโดยประชาชน แก้ปัญหาโดย กทม.ผ่านแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ซึ่งแก้ไขไปแล้ว 200,000 กว่าเรื่อง นอกจากนี้ยังเปิดเผยข้อมูลการจะซื้อจะจ้างทางออนไลน์ และยกระดับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการต่อต้านการทุจริต เปิดศูนย์ต่อต้านทุจริต กทม. เพิ่มช่องทางการรับเรื่องทุจริต เร่งรัดการสอบสวนและลงโทษผู้กระทำผิด
3.เศรษฐกิจดี เพิ่มโอกาสตลาดแรงงาน ฝึกอาชีพคนเมือง โดยเริ่มพัฒนาหลักสูตรฝึกอาชีพ เช่น หลักสูตรแม่บ้านโรงแรม ฝึกอบรมแม่บ้านเพื่อให้จบไปแล้วมีงานทันที นอกจากนี้ ยังนับเป็นครั้งแรกที่รับคนพิการเข้าเป็นข้าราชการ 9 คน
4.เดินทางดี เริ่มจากปรับปรุงทางเท้า ปรับทางเดินริมคลองแสนแสบ คืนทางเท้าให้ประชาชน 140 จุด คืนผิวจราจร สะพานเชื้อเพลิง สะพานข้ามแยก ณ ระนอง
5.สิ่งแวดล้อมดี เพิ่มพื้นที่สีเขียว ปลูกต้นไม้แล้ว 400,000 ต้น มี Pet park 5 แห่ง น้องๆ มาใช้บริการแล้ว 4,500 ตัว ประชาชนและผู้ประกอบการร่วมโครงการแยกขยะกว่า 6,400 ราย ขยะลดลง 300-700 ตันต่อวัน
6.สุขภาพดี ส่งเสริมสุขภาพชุมชนทุกกลุ่ม มี 22 คลินิคเพศหลากหลาย นำร่องให้บริการ หมอถึงชุมชน Mobile medical unit ใน 104 ชุมชน ให้บริการ 4,000 ครั้ง
7.สังคมดี จดทะเบียนคนไร้บ้าน จนทำให้จำนวนคนไร้บ้านลดลง ลดเวลาในการออกบัตรคนพิการ
8.เรียนดี เพิ่มค่าอาหารกลางวันเด็ก เพิ่มค่าวัสดุอุปกรณ์ กทม.อุดหนุนค่าอาหาร-ค่าชุด 1,171 ล้านบาท แจกผ้าอนามัยให้กับนักเรียน 341 โรงเรียน 23,000 คน
9.บริหารจัดการดี จัดสรรงบประมาณปี 2566 กว่า 5,024 ล้านบาทลงไปที่เส้นเลือดฝอย จัดสรรงบ 200,000 บาทต่อชุมชน ที่ดินใน กทม. 99.42% ถูกประเมินเพื่อจัดเก็บภาษี จัดตั้งสภาเมืองคนรุ่นใหม่ เพิ่มการมีส่วนร่วม ทำประกันอุบัติเหตุให้พนักงานกวาดถนน
ชัชชาติ ย้ำว่า นโยบาย Traffy Fondue ทำให้ข้าราชการตื่นตัวอย่างแรง มีการทำงานระหว่างหน่วยงานอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งนโยบายดังกล่าว ถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมของ กทม.เพราะวันแรกที่เปิด Traffy Fondue นั้น มีคนร้องเรียนมากว่า 20,000 เรื่อง ซึ่งปัจจุบันมีคนแจ้งเข้ามา 301,649 เรื่อง และแก้ไขไปแล้ว 217,930 เรื่อง โดยที่ตนไม่ต้องสั่งการ แต่ผู้อำนวยการเขตเป็นผู้ดำเนินการ และมีรองปลัด 6 คนที่ดูแลในแต่ละโซนที่จะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งจะต้องหารือกับรัฐบาลต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไรแบบไร้รอยต่อ ถือว่า ใช้งบประมาณแก้ไขเท่าเดิม แต่ดำเนินการได้เร็วขึ้น นี่คือการโปร่งใสเรื่องเวลา
ชัชชาติ ยืนยันว่า ยินดีรับฟังทุกอย่าง และพร้อมนำไปปรับปรุง ยอมรับว่า เรื่องทุจริตคอร์รัปชันยากที่สุด เพราะเป็นสารตั้งต้น ถ้าไม่โปร่งใส ประชาชนไม่ไว้ใจทุกอย่างก็ไม่ไปด้วยกัน เชื่อว่า ข้าราชการส่วนใหญ่เป็นคนดี ต้องเริ่มจากฝ่ายบริหารเป็นหลัก ถ้าทำตรงนี้ได้เงินจะเหลือไปทำเรื่องเรื่องอื่น และประชาชนจะไว้ใจ แล้วเริ่มรู้สึกว่า เราแก้ปัญหาให้เขาได้ ก็จะมีแนวร่วมกับเรา ซึ่งการที่ประชาชนไว้ใจนั้น มีค่ากว่างบประมาณอีก ดังนั้น ความโปร่งใสเป็นเรื่องที่ท้าทายและหยั่งรากฝังลึกมานาน อย่างโครงการ 200,000 บาทต่อชุมชน หลายคนกลัวเรื่องทุจริต จึงได้ร่วมกับ ป.ป.ช.ตั้งแต่ต้น ทำให้คนมั่นใจในการทำงานมากขึ้น
ส่วนที่ผ่านมาประชาชนมองว่า กทม.ไม่มีผลงานเลย จะปรับกลยุทธ์การสื่อสารอย่างไร ชัชชาติ กล่าวว่า จุดแข็งของ กทม.มีหน่วยงานแทรกซึมในชุมชน หากเอาจริงเอาจังก็แก้ปัญหาได้จริง ส่วนที่ถูกมองว่าไม่มีผลงาน ก็ต้องประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลให้มากขึ้น แต่ส่วนตัวอยากให้ประชาชนรู้สึกด้วยตัวเขาเองว่าชีวิตเขาดีขึ้น ไม่ต้องไปฟังใครบอก
เมื่อถามว่า คิดอย่างไรกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ระบุว่า ‘1 ปีชัชชาติ ใหญ่ๆ ไม่ เล็กๆ ทำ’ ชัชชาติ กล่าวว่า ก็ถูกต้อง เพราะปัญหาของ กทม.เป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีใครเคยสนใจ เงินงบประมาณเขี่ยไม่เคยลง แต่เราทำเรื่องเล็กๆ ที่ตอบโจทย์ประชาชน ถามว่าเรื่องใหญ่ทำหรือไม่ โครงการใหญ่ก็เดินหน้าตลอด ไม่มีหยุด แต่อาจจะไม่มีใครเห็นอย่างการทำอุโมงค์ก็อยู่ใต้ดิน อย่างที่บอกก็ต้องทำคู่ขนานไป ก็ดีใจที่คนบอกว่าทำเรื่องเล็ก เพราะนั่นคือนโยบายที่หาเสียงมาตั้งแต่ต้น ถ้าตนเข้ามาแล้วไม่ทำเรื่องเล็ก ก็ถือว่าโกหกประชาชนแล้ว เพราะเราพูดเรื่องเส้นเลือดฝอยตั้งแต่วันแรก แต่ก็ต้องทำคู่ขนานทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก ก็ยินดีน้อมรับทุกคำติ
