อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยช่วงที่ผ่านมาข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร โดยอนุทิน ยืนยันว่า ยังไม่มีการพูดคุยใดๆ ซึ่งเรื่องการปรับ ครม. หากมีการถามมายังพรรคภูมิใจไทย พรรคก็ยืนยันว่า ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร เพราะได้คุยในเบื้องต้นภายในพรรคแล้วว่า รัฐมนตรีทุกคนยังทำงานได้อย่างเต็มที่ กระทรวงที่กำกับดูแลในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร
ส่วนกระแสข่าวการเขย่าเก้าอี้แบบนี้แสดงให้เห็นว่ามีความต้องการกระทรวงมหาดไทยคืนใช่หรือไม่นั้น อนุทิน กล่าวว่า ไม่มองว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร มันเขย่าไม่ได้ นี่เป็นรัฐบาลผสม และเป็นข้อตกลงที่เราหารือกันตั้งแต่เราตั้งรัฐบาล นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน 2 ปีแล้ว และมายังรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร รูปแบบนี้ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ตรงนี้ไม่ใช่ว่าเป็นของใคร แต่เป็นข้อตกลงและเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งทุกคนก็ทำงานอย่างเต็มที่ ที่มีข่าวบอกว่า คนนี้ทำงานดีหรือไม่ดี เบื้องต้นทางหัวหน้าพรรคจะประเมิน เพื่อเรียนต่อนายกฯ แต่สุดท้ายคนที่ประเมินจริงๆ คือพี่น้องประชาชน
เมื่อถามว่า หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแลกกระทรวง อนุทินพอใจกระทรวงไหนถึงจะยอมแลกกับกระทรวงมหาดไทย อนุทิน กล่าวว่า มันไม่มี อะไรที่ตกลงไปแล้วก็ต้องเป็นไปตามนั้น เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าจะไม่ยอมแน่นอนกับการเปลี่ยนกระทรวง อนุทิน กล่าวว่า มันไม่เกี่ยวกับยอมหรือไม่ยอม เพราะเป็นข้อตกลง
“พรรคภูมิใจไทย อยู่ดีๆ ไม่ได้เดินไปขอร่วมรัฐบาล อย่าลืมว่า เรามาตามคำเชิญของพรรคเพื่อไทย จำได้หรือไม่ วันที่ไปกินช็อกมินต์เราก็ไป พรรคเพื่อไทยเชิญมา เกือบจะออกจากตึกไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะถูกปิดล้อม จากผู้ชุมนุม กดดันน่าดูเหมือนกันกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราก็ผ่านร้อนผ่านหนาวต่อสู้ทำงานตอบสนองนายกฯ มาแล้ว 2 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกฯ ท่านปัจจุบัน พรรคภูมิใจไทย มีความเต็มใจ ยินดี อยากจะสนับสนุนให้ท่านประสบความสำเร็จในความเป็นนายกฯ ในสมัยนี้ให้สุด การทำงานความสัมพันธ์ ความผูกพันกับท่านนายกฯ แพทองธาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผม ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เคารพนับถือให้เกียรติกัน ไม่เคยมีปัญหาใดๆในการทำงาน เรื่องของผลงานต่างๆของกระทรวงมหาดไทยก็มีให้เห็นหลายเรื่อง หลายๆอย่างเป็นไปในทางที่ดีขึ้น”
— อนุทิน กล่าว
ส่วนที่เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. โพสต์ข้อความพร้อมภาพให้กำลังใจนายกฯ ในเฟซบุ๊ก อนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้เราอยู่ในสภาวะที่มีความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการตัดสินใจหลายๆ อย่างต้องมาจากนายกฯ การโพสต์รูปเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมสนับสนุนนายกฯ ให้มีกำลังใจ มีความมั่นใจว่า ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจในทางไหนก็ตามในการรับมือกับสถานการณ์ บริเวณชายแดน กระทรวงมหาดไทยและส่วนงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมที่จะปฏิบัติและสนับสนุนในทุกรูปแบบ
ทั้งนี้ ช่วงที่มีกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยจะทวงคืนกระทรวงมหาดไทย ได้มีการพูดคุยกับนายกฯ หรือยัง อนุทิน กล่าวว่า ปกติใช้วิธีไลน์กัน ยกเว้นมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนก็จะโทรศัพท์คุยกัน เมื่อถามย้ำว่า เรื่องการปรับ ครม. ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันใช่หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า “ไม่มีเลยครับ”
ส่วนในช่วงที่มีกระแสข่าวเยอะๆ นายกฯ ได้ให้ความมั่นใจกับอนุทินหรือไม่นั้น เจ้าตัว ก็ยืนยันว่า “ให้ความมั่นใจ”
เมื่อถามต่อว่า นายกฯ ให้ความมั่นใจอย่างไร อนุทิน กล่าวว่า “เนี่ยทำงานกันไม่ได้แล้ว รัฐมนตรีทั้งหลายที่เป็นข่าวก็ไม่มีความมั่นใจ ไอ้ตรงนั้นไม่เท่าไหร่หรอกรัฐมนตรี แต่ที่แย่คือ กลัวข้าราชการจะไม่มีความมั่นใจ และงานจะเดินไม่ได้ หากทำไปจะถูกกล่าวหาว่าถูกต้องหรือเปล่า เป็นเด็กคนนั้นคนนี้อะไรหรือเปล่า มันมีสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ต่อประชาชน ซึ่งในส่วนนี้นายกฯก็ให้ความมั่นใจกับครม. ท่านพูดในที่ประชุมครม. ท่านลงมาแถลงกับสื่อมวลชน จริงๆ ก็ไม่ควรถามเรื่องนี้กันแล้วเราได้ฟังจากนายกฯ ชัดเจนว่า ท่านยังไม่มีแนวคิดที่จะปรับครม. ก็ไม่ทราบว่า ใครที่ยังไม่หยุดเรื่องพวกนี้ พวกผมก็ต้องเชื่อนายกฯ ถ้าผมไม่เชื่อก็ทำงานไม่ได้ ถ้ามัวแต่ห่วงเก้าอี้ กลัวว่าจะหลุดไปไหนก็คงไม่ไปเมืองนอก นั่งเฝ้าท่านนายกฯ อย่างเดียว ซึ่งมันไม่ใช่แน่นอน เพราะเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล”
สำหรับกระแสข่าวการนัดกินข้าวระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรครวมไทยสร้างชาติในวันที่ 8 มิ.ย. ที่สโมสรราชพฤกษ์ อนุทิน ปฏิเสธว่า ไม่มีการนัดกินข้าวกัน มีแต่นัดทำงาน พรรครวมไทยชาติกับพรรคภูมิใจไทย ร่วมกันทำงาน เนื่องจากมีปัญหาเรื่องของค่าไฟฟ้า และอนุทินนั่งประชุมครม. ติดกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้พบกับพีระพันธุ์ และเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่มานั่งคุยกันในเรื่องของภาคการผลิตไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตอยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน ส่วนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงภาคการใช้งาน คือ กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นนโยบายของนายกฯ ในการลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน เห็นว่า ถึงเวลาควรจัดเวิร์คช็อป เพื่อหาวิธีทางในการลดค่าไฟฟ้าให้ตอบรับกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นการคุยกันระหว่างสองพรรคตามที่เป็นข่าว และได้มีการตกลงว่า หากมีการนัดวันเวิร์คช็อป เรียบร้อยจะมีการเชิญนายกฯ มาเป็นประธานในการเปิดสัมมนาเวิร์คช็อปด้วย ซึ่งขณะนี้คาดว่า จดหมายเชิญได้ส่งไปถึงกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงมหาดไทย เพียงแต่ยังไม่ได้ตอบรับจะจัดเวิร์คช็อปในวันไหน ส่วนการนัดกินข้าวก็กินกันตลอดอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า กระแสข่าวที่ระบุว่าในวันที่ 8 มิ.ย. จะมีการนัดกินข้าวที่สโมสรราชพฤกษ์ อนุทิน กล่าวว่า พรุ่งนี้ยังไม่มี ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยยังไม่มี ไปทานกันมาแล้ว แต่ไม่ได้มีการพูดคุยถึงการปรับ ครม. คุยกันแค่เรื่องงาน
ส่วนกระแสข่าวจะเป็นการจับมือกันระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติในการต่อรองกับพรรคเพื่อไทย อนุทิน ย้อนถามว่า ทำไมดูถูกพรรคการเมือง ดูถูกรัฐมนตรี ดูถูกหัวหน้าพรรค ของพวกนี้ไม่มีการต่อรอง การต่อรองจบไป ตั้งแต่เดือน ก.ค.66 แล้ว อย่าใช้คำว่าต่อรองเลย มีข้อตกลงกันแล้ว ปล่อยให้พวกเราได้ทำงานอีก 2 ปีก็จะหมดวาระแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เห็นข่าวที่ สส.พรรคภูมิใจไทย เสนอสูตรการเกลี่ยกระทรวงใหม่หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า ไม่มีแน่นอน สส.พรรคภูมิใจไทย สรุปในที่ประชุมกันหมดแล้วว่า คนที่จะให้ข่าวเรื่องปรับ ครม. ได้คือหัวหน้าพรรคเท่านั้น แต่ถ้าในเรื่องของพรรคเป็นหน้าที่ของเลขาธิการพรรค ถ้าได้ยินข่าวที่ไม่ได้มาจากหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรค และโฆษกพรรค ถือว่าไม่เป็นความจริง เชื่อถือไม่ได้
ทั้งนี้ หากสุดท้ายแล้วมีชื่อหลุดจากเก้าอี้ รมว.มหาดไทย จะเป็นอย่างไรต่อไป อนุทิน กล่าวว่า ไม่ได้เตรียมความคิดนี้ไว้ เพราะมันเกิดขึ้นไม่ได้

อนุทิน ยังกล่าวถึงสถานการณ์ความตรึงเครียดบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาว่า ระหว่างปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ กรุงเจนีวาทุกเช้าจะต้องประชุมกับปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมการปกครอง และผู้ว่าราชการอุบลราชธานี ถึงการเตรียมพร้อม และได้ติดต่อตรงทางไลน์กับผู้ว่าฯ ซึ่งความพร้อมของฝ่ายปกครองคือการสนับสนุนเป็นแนวหลัง เพื่อเกิดความมั่นคงและความมั่นใจว่า พี่น้องประชาชนจะใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข หากมีความจำเป็นเร่งด่วนใดๆ ที่จะต้องอพยพ เราพร้อมที่จะมีศูนย์พักพิงให้ มีโรงพยาบาลสนามเตรียมเอาไว้ มีอาหารการกิน มีการจัดชุด ชรบ. และชุด อส.ไปดูแลบ้านเรือน ชุมชนของพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน 7 จังหวัด ไม่ใช่เพียงแต่อุบลราชธานี ซึ่งเรามีความพร้อมเต็มที่และมีความพร้อมสนับสนุน
อนุทิน กล่าวต่อว่า ในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานมีบทสรุปมาว่า การตัดสินใจเรื่องยุทธศาสตร์เป็นเรื่องของกองทัพ ซึ่งถ้ากองทัพต้องการสนับสนุนใดๆ เช่น การปิดด่าน ปิดชายแดน ก็ให้แจ้งมาผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมที่จะดำเนินการตามการตัดสินใจของผู้ที่มีอำนาจ
สำหรับขวัญกำลังใจประชาชนในพื้นที่ อนุทิน กล่าวว่า พื้นที่ยังห่างจากชายแดนหลาย 10 กิโลเมตร เราก็จัดชุดให้ไปเฝ้า ตามวิถีชาวบ้านที่ไปหาของป่า ก็ขอให้ยกเว้นสักพัก จะมีคนคอยลาดตระเวนดูแลในสวนแนวหลัง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า จะเกิดความปลอดภัยสูงสุด เพราะยังไม่มีกรณีลอบทำร้ายกันระหว่างสองฝั่งหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประชาชนยังใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ ซึ่งเขาก็พอใจ โดยเราจะไม่รบกวนกำลังของทหาร ที่ต้องดูแลการคุกคามของฝ่ายตรงข้ามตามแนวชายแดน ในส่วนนี้ทาง อส.ทาง ชรบ.และหน่วยฝ่ายปกครอง นายอำเภอ ปลัดอำเภอจะต้องคอยตรึงแนวหลัง ให้มั่นใจว่าความสงบเรียบร้อยเกิดขึ้น คิดว่าไม่มีปัญหา ถ้าเป็นไปได้ วันพรุ่งนี้ (8 มิ.ย.) จะเดินทางไปด้วยคณะเล็กๆ ชวนปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมการปกครอง ไปอย่างไม่เป็นทางการ และวันที่ 11 มิ.ย. จะเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดตามแนวเขตชายแดน ไทยกัมพูชาทั้ง 7 จังหวัด ไปประชุมที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า แนวทางในการสนับสนุนส่วนหน้า และแนวทางในการดูแลพี่น้องประชาชนจะต้องเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ส่วนกรณีที่กระทรวงมหาดไทย และพรรคภูมิใจไทย เปลี่ยนโปรไฟล์ ติดแฮชแท็ก “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขาด” นั้น อนุทิน กล่าวว่า “เราต้องให้กำลังใจกองทัพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะทำ พวกสื่อคงไม่ทันหรอก ในสมัยคอมมิวนิสต์ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็มีการร้องเพลง ปลุกใจกันทั้งวัน เปรี้ยงๆ สายฟ้าฟาด หนักแผ่นดิน แต่หวังว่ายุคนี้คงไม่ต้องร้องเพลงขนาดนั้น”
เมื่อถามว่า มองอย่างไร ที่คนอาจมองว่าเป็นการกระตุ้นให้เกิดการรัฐประหาร อนุทิน กล่าวว่า ยังไกลเกินไป คิดแต่เรื่องดีๆ คิดว่าความพยายามที่จะเจรจายุติความขัดแย้งยังดำเนินอยู่ ประเทศไทยก็ออกแถลงการณ์ชัดเจนว่า ยังเชื่อเรื่องของการใช้การเจรจา ตามหลักสากลในการที่จะยุติข้อขัดแย้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องให้กำลังใจ