(19 ก.ค. 2566) ผู้สื่อข่าวรายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ซึ่งมีผู้เสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพียงชื่อเดียว ให้รัฐสภาพิจารณา และมี สส.รับรอง 299 คน ครบตามจำนวนที่กำหนด
แต่การพิจารณาดังกล่าวไม่สามารถลงมติตามที่ขั้นตอนได้ เนื่องจากที่ประชุมได้พิจารณาข้อหารือ ตามที่ อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอประเด็นโต้แย้ง เพราะมองว่าาการชื่อ พิธา นั้นเข้าข่ายเป็นญัตติที่รัฐสภา ตีตกไปแล้ว หลังจากการประชุมรัฐสภา เมื่อ 13 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น พิธา ไม่ได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งให้เป็นนายกฯ ดังนั้น กรณีเสนอชื่ออีกครั้ง ถือว่าขัดกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 พร้อมยืนยันว่า ชื่อของ พิธา ไม่ได้เสียสิทธิต่อการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ แต่ต้องเกิดขึ้นในสมัยประชุมครั้งถัดไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ใช้เวลาถกเถียงกันอย่างเข้มข้นดุเดือด ระหว่างพรรคขั้วรัฐบาลเดิม กับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงฝั่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งยกเหตุผล, ข้อบังคับ รวมถึงรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการโหวตนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 สนับสนุนเหตุผลของฝั่งตนเอง โดยฝ่ายพรรคก้าวไกลยืนยันว่าการเสนอชื่อบุคคลให้ความเห็นชอบเป็นนายกฯ นั้นเป็นเรื่องที่เสนอให้พิจารณา ไม่ใช่การเสนอญัตติ ตามที่บัญญัติไว้ในข้อบังคับการประชุม
ในช่วงท้ายของการอภิปราย ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายขอให้หัวหน้าพรรคการเมืองระลึกด้วยว่า การพิจารณาตามข้อหารือนั้น อาจสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีของอนาคตการเมืองไทย ขณะที่การเลือกนายกฯ ตามบทเฉพาะกาลท มาตรา 272 นั้นมีโอกาสใช้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะครบ 5 ปี ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญยังมีผลบังคับใช้และการเลือกนายกฯ ต้องปฏิบัติตามมาตรา 159 โดยให้สภาฯ เลือกแคนดิเดตนายกฯ จากบัญชีของพรรคการเมือง ดังนั้น ในอนาคต หากเกิดกรณีที่พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งไม่พอใจ เพราะจัดสรรปันส่วนไม่ลงตัว และที่ประชุมสภาฯ ไม่รับข้อเสนอของพรรคเสียงข้างมากที่เสนอบุคคลเป็นนายกฯ คนที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ อาจตกม้าตาย เพราะที่ประชุมโหวตไม่ได้ และหากยึดบรรทัดฐานที่ระบุว่า เสนอชื่อซ้ำไม่ได้ อาจจะสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีในอนาคต
“อย่าให้บรรทัดฐานการเมือง ต่อประเด็นลงมติเลือกนายฯ เป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดีต่อไปในอนาคต ผมเห็นว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 มาตรา 272 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 136 เป็นบทบัญญัติเฉพาะว่าด้วยการเลือกนายกฯ ดังนั้น จะนำเรื่องข้อบังคับที่เป็นญัตติ ซึ่งเป็นบททั่วไปมาบังคับไม่ได้ ทั้งนี้ ไม่มีอะไรห้ามที่จะเสนอ ตรงกันข้ามการพิจารณานั้นต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ” ชูศักดิ์ อภิปราย
ภายหลังจากที่เปิดให้สมาชิกอภิปรายแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง ในญัตติการเสนอชื่อ พิธา ให้รัฐสภาเห็นชอบเป็นนายกฯ อีกครั้ง จะทำได้ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 ได้หรือไม่ ประธานฯ ก็ได้ทำการตรวจสอบองค์ประชุมเพื่อที่จะลงมติ
กระทั่งเวลาประมาณ 17.07 น. ได้เปิดให้ลงมติด้วยวิธีกดบัตรแสดงตน ผลปรากฏว่ามีสมาชิก เห็นด้วย 395 เสียง, ไม่เห็นด้วย 312 เสียง, งดออกเสียง 8 เสียง, ไม่ลงคะแนนเสียง 1 อีกทั้งประธานฯ ได้ชี้แจงว่า เนื่องจากขณะนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณามีมติให้ พิธา งดปฏิบัติหน้าที่ สส. ดังนั้น จำนวนสมาชิกกึ่งหนึ่งของที่ประชุมทั้ง 2 สภา คือ 374 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมเห็นด้วยเป็นไปตามข้อบังคับฯ ข้อ 41 คือไม่สามารถเสนอชื่อ พิธา ซ้ำได้ ก่อนสั่งปิดการประชุมในเวลาประมาณ 17.09 น. โดยที่ประชุมใช้เวลาถกเถียงและอภิปรายในเหตุผลของแต่ละฝ่ายยาวนานกว่า 8 ชั่วโมง
แต่การพิจารณาดังกล่าวไม่สามารถลงมติตามที่ขั้นตอนได้ เนื่องจากที่ประชุมได้พิจารณาข้อหารือ ตามที่ อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอประเด็นโต้แย้ง เพราะมองว่าาการชื่อ พิธา นั้นเข้าข่ายเป็นญัตติที่รัฐสภา ตีตกไปแล้ว หลังจากการประชุมรัฐสภา เมื่อ 13 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น พิธา ไม่ได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งให้เป็นนายกฯ ดังนั้น กรณีเสนอชื่ออีกครั้ง ถือว่าขัดกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 พร้อมยืนยันว่า ชื่อของ พิธา ไม่ได้เสียสิทธิต่อการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ แต่ต้องเกิดขึ้นในสมัยประชุมครั้งถัดไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ใช้เวลาถกเถียงกันอย่างเข้มข้นดุเดือด ระหว่างพรรคขั้วรัฐบาลเดิม กับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงฝั่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งยกเหตุผล, ข้อบังคับ รวมถึงรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการโหวตนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 สนับสนุนเหตุผลของฝั่งตนเอง โดยฝ่ายพรรคก้าวไกลยืนยันว่าการเสนอชื่อบุคคลให้ความเห็นชอบเป็นนายกฯ นั้นเป็นเรื่องที่เสนอให้พิจารณา ไม่ใช่การเสนอญัตติ ตามที่บัญญัติไว้ในข้อบังคับการประชุม
ในช่วงท้ายของการอภิปราย ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายขอให้หัวหน้าพรรคการเมืองระลึกด้วยว่า การพิจารณาตามข้อหารือนั้น อาจสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีของอนาคตการเมืองไทย ขณะที่การเลือกนายกฯ ตามบทเฉพาะกาลท มาตรา 272 นั้นมีโอกาสใช้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะครบ 5 ปี ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญยังมีผลบังคับใช้และการเลือกนายกฯ ต้องปฏิบัติตามมาตรา 159 โดยให้สภาฯ เลือกแคนดิเดตนายกฯ จากบัญชีของพรรคการเมือง ดังนั้น ในอนาคต หากเกิดกรณีที่พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งไม่พอใจ เพราะจัดสรรปันส่วนไม่ลงตัว และที่ประชุมสภาฯ ไม่รับข้อเสนอของพรรคเสียงข้างมากที่เสนอบุคคลเป็นนายกฯ คนที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ อาจตกม้าตาย เพราะที่ประชุมโหวตไม่ได้ และหากยึดบรรทัดฐานที่ระบุว่า เสนอชื่อซ้ำไม่ได้ อาจจะสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีในอนาคต
“อย่าให้บรรทัดฐานการเมือง ต่อประเด็นลงมติเลือกนายฯ เป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดีต่อไปในอนาคต ผมเห็นว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 มาตรา 272 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 136 เป็นบทบัญญัติเฉพาะว่าด้วยการเลือกนายกฯ ดังนั้น จะนำเรื่องข้อบังคับที่เป็นญัตติ ซึ่งเป็นบททั่วไปมาบังคับไม่ได้ ทั้งนี้ ไม่มีอะไรห้ามที่จะเสนอ ตรงกันข้ามการพิจารณานั้นต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ” ชูศักดิ์ อภิปราย
ภายหลังจากที่เปิดให้สมาชิกอภิปรายแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง ในญัตติการเสนอชื่อ พิธา ให้รัฐสภาเห็นชอบเป็นนายกฯ อีกครั้ง จะทำได้ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 ได้หรือไม่ ประธานฯ ก็ได้ทำการตรวจสอบองค์ประชุมเพื่อที่จะลงมติ
กระทั่งเวลาประมาณ 17.07 น. ได้เปิดให้ลงมติด้วยวิธีกดบัตรแสดงตน ผลปรากฏว่ามีสมาชิก เห็นด้วย 395 เสียง, ไม่เห็นด้วย 312 เสียง, งดออกเสียง 8 เสียง, ไม่ลงคะแนนเสียง 1 อีกทั้งประธานฯ ได้ชี้แจงว่า เนื่องจากขณะนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณามีมติให้ พิธา งดปฏิบัติหน้าที่ สส. ดังนั้น จำนวนสมาชิกกึ่งหนึ่งของที่ประชุมทั้ง 2 สภา คือ 374 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมเห็นด้วยเป็นไปตามข้อบังคับฯ ข้อ 41 คือไม่สามารถเสนอชื่อ พิธา ซ้ำได้ ก่อนสั่งปิดการประชุมในเวลาประมาณ 17.09 น. โดยที่ประชุมใช้เวลาถกเถียงและอภิปรายในเหตุผลของแต่ละฝ่ายยาวนานกว่า 8 ชั่วโมง
