



โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. หรือทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้เผยแพร่เอกสารรับคำร้องกรณีของ ‘พิธา’ ไว้พิจารณา กลุ่มมวลชนที่เดินทางมาติดตามการประชุมรัฐสภา เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 บริเวณสี่แยกเกียกกาย ได้เคลื่อนขบวนมุ่งหน้ามายังประตูทางเข้ารัฐสภา ฝั่งวัดแก้วฟ้าทันที ก่อนแห่กรูกันมาเกาะประตูรั้ว และเขย่าประตู เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เปิดทางให้เข้าไปยังพื้นที่ด้านใน พร้อมกับตะโกนด่าแสดงความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ตำรวจและ สว.
ทำให้ตำรวจต้องขึ้นรถใช้เครื่องขยายเสียงแจ้งผู้ชุมนุมให้ถอยออกไป ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย ที่ห้ามชุมนุมใกล้อาคารรัฐสภา ในรัศมี 50 เมตร พร้อมกับมีการเติมกำลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) ที่เข้ามาตั้งแนวตรึงกำลังชั้นใน โดยตำรวจพยายามเจรจาเกลี่ยกล่อมให้ผู้ชุมนุมถอยไปก่อน และย้ำว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ต้องการเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน ขอให้ผู้ชุมนุมทำตามกฎหมายด้วย
จากนั้นสถานการณ์เริ่มสงบลง แต่ยังคงมีมวลชนบางส่วนตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่อยู่ด้านนอก และทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์จุดพลุแฟลร์ พร้อมกับโปรยกระดาษยื่นใบลาออกให้ สว. ต่อมา ‘ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าไปพูดคุยกับตำรวจและผู้ชุมนุม เพื่อขอให้ถอยกันคนละก้าว ก่อนที่สถานการณ์ทุกอย่างจะเริ่มสงบลง
ทำให้ตำรวจต้องขึ้นรถใช้เครื่องขยายเสียงแจ้งผู้ชุมนุมให้ถอยออกไป ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย ที่ห้ามชุมนุมใกล้อาคารรัฐสภา ในรัศมี 50 เมตร พร้อมกับมีการเติมกำลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) ที่เข้ามาตั้งแนวตรึงกำลังชั้นใน โดยตำรวจพยายามเจรจาเกลี่ยกล่อมให้ผู้ชุมนุมถอยไปก่อน และย้ำว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ต้องการเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน ขอให้ผู้ชุมนุมทำตามกฎหมายด้วย
จากนั้นสถานการณ์เริ่มสงบลง แต่ยังคงมีมวลชนบางส่วนตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่อยู่ด้านนอก และทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์จุดพลุแฟลร์ พร้อมกับโปรยกระดาษยื่นใบลาออกให้ สว. ต่อมา ‘ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าไปพูดคุยกับตำรวจและผู้ชุมนุม เพื่อขอให้ถอยกันคนละก้าว ก่อนที่สถานการณ์ทุกอย่างจะเริ่มสงบลง