การแถลงข่าวร่วมจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ตอนบ่ายคล้อยของวันที่ 7 สิงหาคม นัยสำคัญอยู่ที่คำแถลงของ ‘อนุทิน ชาญวีรกุล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เรื่องหลักการ 3 ประการในการร่วมรัฐบาลคือ
หลังจากพรรคเพื่อไทยฉีกเอ็มโอยู 8 พรรคร่วม ถีบพรรคก้าวไกลทิ้ง เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม มีการปล่อยและปั่นข่าวผ่านสื่อหลักและสื่อโซเชียล ในหลายๆประเด็นเช่น พรรคเพื่อไทยโดนหลอกให้ทิ้งพรรคก้าวไกล เพราะจะมีการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ไม่มีพรรคเพื่อไทยร่วม หรือพรรคเพื่อไทยโดนหลอกให้ทิ้งพรรคก้าวไกล ทำให้ถูกกดดันต้องเอาพรรค ขั้วรัฐบาลเดิม188 เสียง เข้าร่วมรัฐบาล หรือพรรคเพื่อไทยอาจเป็นแค่หุ่นเชิดในรัฐบาลใหม่ เพราะกระทรวงสำคัญๆตกเป็นของพรรค 2 ลุง
‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ควันที่ 6 สิงหาคม ว่า “ ผมรู้สึกเป็นห่วงเหมือนเพื่อนกำลังถูกพวกมันหลอกพาไปปล้น แล้วยิงทิ้งบนภูเขา รีบวิ่งกลับมาลงเรือเร็ว เรือลำนี่ยังรอนายอยู่ ”
พรรคก้าวไกลรวมทั้งนักวิชาการ นักวิเคราะห์ สื่อมวลชนหลายคน ยังฝันลมๆ แล้งๆ ว่า พรรคก้าวไกลยังมีโอกาสตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเพื่อไทย บางคนฝันไปถึงว่า เพื่อไทยหลอก สว. ให้ยกมือรับรองแคนดิเดตพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน พอตั้งรัฐบาลไปได้สักพัก เพื่อไทยจะดึงก้าวไกลมาร่วมรัฐบาล
ต่อหน้าหัวหน้า รองหัวหน้า และ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อนุทิน ย้ำว่า แนวทาง 3 ประการของพรรคภูมิใจไทยนั้น พรรคเพื่อไทยเห็นพ้อง เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีอุปสรรคน้อยที่สุด
นั่นคือการ ‘ตอกตะปูตัวสุดท้าย’ บนฝาโลง ‘ปิดสวิทช์พรรคก้าวไกล’ โดยสิ้นเชิง ให้ไปเป็นฝ่ายค้านโดยปริยาย
หลักการข้อที่ 2 ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยคือ การสื่อว่า นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ต้องเป็นคนหนึ่งคนใดใน แคนดิเดต 3 คนของพรรคเพื่อไทย ดับฝันและความทะเยอทะยานของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
อนุทินย้ำว่า การเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยจะปฏิบัติตามข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย
อำนาจต่อรองของ พล.อ.ประวิตรคือ ความเชื่อว่า เขาคุมเสียง วุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ที่เป็นเสียงชี้ขาดว่า ใครจะเป็นนากรัฐมนตรี
แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ยืนยันแล้วว่า ไม่เอาการแก้ไข ม.112 และไม่เอาพรรคก้าวไกล ถ้า สว. ไม่ยกมือให้ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย จะอธิบายกับสังคมอย่างไร
ตอนนี้ พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย มีเสียงรวมกัน 212 เสียง เป็น ‘เสียงตั้งต้น’ ที่จะเริ่มจัดตั้งรัฐบาล และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แย้มว่า ขณะนี้มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้วแสดงว่า มีการตกลงกับพรรคอื่นๆ แล้ว แต่ยังต้องการเสียงสนับสนุนจาก สส. และ สว. เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
‘ภูมิธรรม เวชชยชัย’ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า สัปดาห์นี้จะเห็นภาพพรรคเพื่อไทย จับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคอื่นเพิ่มขึ้น และไม่ได้ปิดโอกาสเสียงจากรายบุคคลที่จะสนับสนุนนายกฯ พรรค พท. ขอให้มั่นใจว่าจะมีเสียง สส. สนับสนุนเกินครึ่ง ส่วนการขอเสียง สว. อยู่ระหว่างการดำเนินการ และมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีทุกส่วน
นาทีนี้เกมตั้งนายกรัฐมนตรีและตั้งรัฐบาลอยู่ในมือพรรคเพื่อไทย แต่เพียงพรรคเดียวแล้ว อยู่ที่ว่าจะเอาพรรคไหนมาเป็นเสียงเติมเต็ม บวกกับเสียงตั้งต้นให้ได้เสียงมากที่สุด และจะไม่เอาพรรคไหนที่เป็นอุปสรรคในการตั้งรัฐบาล
ถ้าลุงเรื่องเยอะก็อาจจะโดนทิ้ง จากความฝันว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี กลายเป็น ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ ลองบวกลบเสียง สส. ดู จะเห็นว่า ทุกอย่างเป็นไปได้
- ไม่แตะต้อง มาตรา 112 ทั้งการแก้ไขหรืออื่นๆ
- ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
- หากมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ในส่วนของพรรค ภท. จะต้องไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล
หลังจากพรรคเพื่อไทยฉีกเอ็มโอยู 8 พรรคร่วม ถีบพรรคก้าวไกลทิ้ง เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม มีการปล่อยและปั่นข่าวผ่านสื่อหลักและสื่อโซเชียล ในหลายๆประเด็นเช่น พรรคเพื่อไทยโดนหลอกให้ทิ้งพรรคก้าวไกล เพราะจะมีการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ไม่มีพรรคเพื่อไทยร่วม หรือพรรคเพื่อไทยโดนหลอกให้ทิ้งพรรคก้าวไกล ทำให้ถูกกดดันต้องเอาพรรค ขั้วรัฐบาลเดิม188 เสียง เข้าร่วมรัฐบาล หรือพรรคเพื่อไทยอาจเป็นแค่หุ่นเชิดในรัฐบาลใหม่ เพราะกระทรวงสำคัญๆตกเป็นของพรรค 2 ลุง
‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ควันที่ 6 สิงหาคม ว่า “ ผมรู้สึกเป็นห่วงเหมือนเพื่อนกำลังถูกพวกมันหลอกพาไปปล้น แล้วยิงทิ้งบนภูเขา รีบวิ่งกลับมาลงเรือเร็ว เรือลำนี่ยังรอนายอยู่ ”
พรรคก้าวไกลรวมทั้งนักวิชาการ นักวิเคราะห์ สื่อมวลชนหลายคน ยังฝันลมๆ แล้งๆ ว่า พรรคก้าวไกลยังมีโอกาสตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเพื่อไทย บางคนฝันไปถึงว่า เพื่อไทยหลอก สว. ให้ยกมือรับรองแคนดิเดตพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน พอตั้งรัฐบาลไปได้สักพัก เพื่อไทยจะดึงก้าวไกลมาร่วมรัฐบาล
ต่อหน้าหัวหน้า รองหัวหน้า และ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อนุทิน ย้ำว่า แนวทาง 3 ประการของพรรคภูมิใจไทยนั้น พรรคเพื่อไทยเห็นพ้อง เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีอุปสรรคน้อยที่สุด
นั่นคือการ ‘ตอกตะปูตัวสุดท้าย’ บนฝาโลง ‘ปิดสวิทช์พรรคก้าวไกล’ โดยสิ้นเชิง ให้ไปเป็นฝ่ายค้านโดยปริยาย
หลักการข้อที่ 2 ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยคือ การสื่อว่า นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ต้องเป็นคนหนึ่งคนใดใน แคนดิเดต 3 คนของพรรคเพื่อไทย ดับฝันและความทะเยอทะยานของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
อนุทินย้ำว่า การเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยจะปฏิบัติตามข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย
อำนาจต่อรองของ พล.อ.ประวิตรคือ ความเชื่อว่า เขาคุมเสียง วุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ที่เป็นเสียงชี้ขาดว่า ใครจะเป็นนากรัฐมนตรี
แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ยืนยันแล้วว่า ไม่เอาการแก้ไข ม.112 และไม่เอาพรรคก้าวไกล ถ้า สว. ไม่ยกมือให้ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย จะอธิบายกับสังคมอย่างไร
ตอนนี้ พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย มีเสียงรวมกัน 212 เสียง เป็น ‘เสียงตั้งต้น’ ที่จะเริ่มจัดตั้งรัฐบาล และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แย้มว่า ขณะนี้มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้วแสดงว่า มีการตกลงกับพรรคอื่นๆ แล้ว แต่ยังต้องการเสียงสนับสนุนจาก สส. และ สว. เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
‘ภูมิธรรม เวชชยชัย’ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า สัปดาห์นี้จะเห็นภาพพรรคเพื่อไทย จับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคอื่นเพิ่มขึ้น และไม่ได้ปิดโอกาสเสียงจากรายบุคคลที่จะสนับสนุนนายกฯ พรรค พท. ขอให้มั่นใจว่าจะมีเสียง สส. สนับสนุนเกินครึ่ง ส่วนการขอเสียง สว. อยู่ระหว่างการดำเนินการ และมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีทุกส่วน
นาทีนี้เกมตั้งนายกรัฐมนตรีและตั้งรัฐบาลอยู่ในมือพรรคเพื่อไทย แต่เพียงพรรคเดียวแล้ว อยู่ที่ว่าจะเอาพรรคไหนมาเป็นเสียงเติมเต็ม บวกกับเสียงตั้งต้นให้ได้เสียงมากที่สุด และจะไม่เอาพรรคไหนที่เป็นอุปสรรคในการตั้งรัฐบาล
ถ้าลุงเรื่องเยอะก็อาจจะโดนทิ้ง จากความฝันว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี กลายเป็น ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ ลองบวกลบเสียง สส. ดู จะเห็นว่า ทุกอย่างเป็นไปได้
