ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเลื่อนแถลงจัดตั้งรัฐบาลว่า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ให้วินิจฉัยเรื่องของการเสนอชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สามารถดำเนินการซ้ำได้หรือไม่ โดยศาลขอรายละเอียดเพิ่มเติม และจะเลื่อนไปพิจารณาในวันที่ 16 สิงหาคม จึงได้ประสานไปยังประธานรัฐสภา และได้คำตอบว่า ต้องรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน จึงต้องเลื่อนวาระการโหวตนายกรัฐมนตรีออกไป แต่คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์หลังจากวันที่ 16 สิงหาคม น่าจะมีการบวกนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น เมื่อการโหวตเลื่อนไปทุกอย่างก็ไม่ควรจะทำอะไรให้มาก ควรจะรอความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญก่อน
ส่วนที่หลายฝ่ายหวั่นใจว่า เสียงจะไม่พอ ขอยืนยันว่า เสียงที่เรามีเพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อเลื่อนการประชุมออกไป ก็มีเวลาทำงานมากขึ้น เพราะการแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่ายยิ่งได้มากก็ยิ่งดี รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และประธานสภากำหนดวาระการประชุม เราก็พร้อมที่จะแถลงข่าวร่วมการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อถามว่า เสียงที่รวบรวมไว้พอจะเปิดเผยได้หรือไม่ว่ามีพรรคใดบ้าง ภูมิธรรม กล่าวว่า รออีกสักหน่อยก็คงดี แต่ก็ยอมรับว่ามีเสียงจาก 8 พรรคร่วมเดิมจำนวนหนึ่งพอสมควร และมีเสียงจากขั้วพรรคร่วมรัฐบาลเดิมฝั่ง 188 เสียง อีกจำนวนหนึ่ง และต้องมีเสียงสว.อีก เนื่องจากเราอยู่ภายใต้วิกฤตการณ์ของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่กำหนดเงื่อนไขว่าต้องได้เสียเกิน 375 เสียง เสียงจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเราอยากให้ได้มั่นคงและมากขึ้นที่สุด เพราะ การมีเสียง สส. เพราะจะทำให้เกิดรัฐบาลที่มั่นคงและมีประสิทธิภาพ รวมถึงกำหนดทิศทางการทำงาน สามารถบริหารทิศทางการทำงานทั้งหมดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยังต้องบวกเสียง สว.อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเราอยากได้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เห็นว่าเราเป็นรัฐบาลที่เข้ามาสามารถกู้วิกฤตได้ ภายใต้ความร่วมมือของทุกฝ่าย ซึ่งก็จะทำให้ความขัดแย้งคลี่คลายลงไป
เมื่อถามว่า ตอนนี้มีรายงานข่าวว่าไม่มีทั้ง 2 ลุงเข้าร่วมรัฐบาล ภูมิธรรม กล่าวว่า รอการตัดสินใจที่ชัดเจน ว่าอะไรเป็นอะไร วันนี้เราพยายามแสวงหาความร่วมมือ แต่เราก็รู้ว่ามีข้อจำกัด และยังข้อที่เป็นปัญหาของประชาชนอยู่เราต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ด้วย
เมื่อถามว่า หากไม่นับรวมเสียง สว.จะต้องหา สส.เพิ่มหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า รอการแถลงรายละเอียด แต่การแสวงหาความร่วมมือ มันแสดงให้เห็นถึงฉันทามติในการจัดตั้งรัฐบาล
ภูมิธรรม ยังชี้แจงถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลมีการระบุว่า ตนไม่ง้อเสียงโหวตจาก พรรคก้าวไกล ยืนยัน ไม่เป็นความจริง ผมได้ชี้แจงไปแล้วว่าการแยกตัวครั้งนี้ เมื่อเรายุติ MOU ถือว่า ทุกฝ่ายเป็นอิสระต่อกัน ส่วนพรรคก้าวไกลจะโหวตหรือไม่โหวตถือเป็นเอกสิทธิ์ สิ่งสำคัญคือเราอยากสร้างมิติทางการเมืองใหม่ เรากับพรรคก้าวไกลสามารถที่จะทำงานการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศเรายินดีที่จะสนับสนุน ไม่จำเป็นที่จะต้องยืนฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล แล้วคัดค้านกันไปตลอด อีกทั้งตนยังยกตัวอย่างเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องการแก้ เพื่อปลดล็อคปัญหาประเทศ ตนพร้อมสนับสนุน และคุณก็ต้องสนับสนุนด้วยเช่นกัน เพราะคิดว่าเป็นปัจจัยร่วม ที่เป็นวาระแห่งชาติ ต้องร่วมกันทำ ส่วนกฎหมายที่ตกลงกันใน MOU ที่ตรงกับนโยบายพรรคเพื่อไทยหรือกฎหมายอื่น ที่ไม่ได้พูดไปใน MOU เราก็ยินดีสนับสนุน แต่ปัญหาที่เราไม่เอาแน่นอน คือ มาตรา 112 เพราะเราปฏิเสธมาตั้งแต่ MOU ครั้งแรก ว่า เราไม่เซ็น แต่พอ MOU ครั้งที่ 2 ก็บรรจุใส่มาอีก เราก็บอกแล้วว่าเราไม่สะดวกใจ ที่จะเซ็น เพราะเราไม่เห็นด้วย และได้ยืนยันไปว่า ถ้ามีเรื่องมาตรา 112 เราไม่โหวตให้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่ดีเราจะโหวตให้ เพราะฉะนั้นเราจึงบอกว่าการตัดสินครั้งนี้ ถ้าจะโหวตให้เราทเราก็ขอบคุณดีใจ แต่ถ้าไม่โหวตเราก็ไม่ถือโทษโกรธใคร ถือเป็นเอกสิทธิ์ ที่พูดทั้งหมดเป็นแบบนี้ เครื่องในที่ประชุมก็มีชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ศิริกัญญา ตันสกุล และพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ทั้งหมดยืนยันในสิ่งที่ตนพูดได้ อันนี้เป็นข้อเท็จจริง
ส่วนที่ชัยธวัช ออกมาระบุว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยบอกให้พรรคก้าวไกล ถอยมาตรา 112 และมีการฉีก MOU ยืนยัน ไม่เป็นความจริง มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ก่อนจะย้ำว่าใน MOU ครั้งแรกเราชัดเจน ถ้ามีมาตรา 112 เราไม่เซ็น และจะขอสงวนสิทธิ์ และไม่ร่วมใน MOU ข้อนั้น จึงได้มีการถอนออกไป ส่วน MOU พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เราก็ใส่มาอีก ซึ่งเราก็ปฏิเสธ เราได้แสดงท่าทีของเรากับพรรคก้าวไกลอย่างชัดเจนมาโดยตลอด ว่า 112 เราไม่เห็นด้วยที่จะไปร่วมเซ็น ส่วนจะไปแก้อะไร ก็ไปทำกัน ถือเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละพรรค อันนี้เราพูดจากันชัดเจน อีกทางพรรคเพื่อไทยที่ได้รับไม้ต่อจากพรรคก้าวไกล ก็ได้พูดคุยกับหลายพรรคการเมือง ซึ่งทุกคนก็ย้ำว่าหากมี 112 ไม่เซ็น ซึ่งก็ได้แจ้งไปทางพรรคก้าวไกลแล้ว ว่าแต่ละพรรคมีความเห็นอย่างไร แต่ถ้าก้าวไกลก็ยังตอบกลับมายืนยันว่า การแก้ไข 112 ไม่ใช่ประเด็น เพราะหากไม่มี 112 ก็มีประเด็นอื่นอีก
เมื่อถามถึงกรณีพรรคก้าวไกล ระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีความกังวล หากพรรคก้าวไกลโหวตให้ สว.บางคน อาจไม่สบายใจ ภูมิธรรม กล่าวว่า เราบอกแล้วว่าถ้าโหวตให้เราก็ขอบคุณและยินดี แต่ถ้าไม่หมดให้ ก็ไม่เป็นไร ถือเป็นเอกสิทธิ์ เพราะตอนนี้เราดำเนินการหาเสียง อย่าถือว่าเราไปกดดัน หากไม่โหวตให้เราเลยก็ได้ เป็นสิ่งที่เราต้องไปแสวงหาความร่วมมือ เป็นการพูดในเงื่อนไขที่สุภาพ และไม่กดดันกัน ถือเป็นสิทธิ์ที่จะเพิ่มหรือลดคะแนนให้กับเรา ก็พูดกันอย่างตรงไปตรงมาชัดเจนที่สุด ไม่มีอะไรเคลือบแฝง
เมื่อถามว่า หากพรรคก้าวไกลไม่โหวตสนับสนุนให้เราก็จะหาคะแนนเสียงจากพรรคร่วมและสว.เป็นหลักใช่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ทุกพรรคที่เข้ามาในสภาตอนนี้ เป็นตัวแทนจากประชาชนที่มีความคิดหลากหลาย เพราะฉะนั้นถ้าเราเดินหน้าไปได้ ประเทศต้องมีความปรองดอง เพราะฉะนั้นการฟังความคิดของทุกพรรคการเมืองของทุกกลุ่ม ก็เป็นเรื่องที่ดี และถ้าเป็นรัฐบาลที่ขึ้นมาจากความยอมรับความคิดที่หลากหลาย ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ไม่ได้บอกว่าจะเอาทุกพรรค ก็อยู่ที่ว่าพรรคไหนจะร่วมกันอย่างไร หรือสังคมได้ความความเข้าใจและเห็นว่าการร่วมมือกันไปสู่ทิศทางใดก็จะเป็นคำตอบ
เมื่อถามถึงกรณี ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแฉการเลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินของเศรษฐา ทวีสิน จะมีผลต่อการพิจารณาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นเรื่องของเศรษฐา ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเดิม ซึ่งก็ทราบว่า ได้มีการแถลงออกมาแล้ว จึงต้องเป็นเรื่องที่นายเศรษฐาและบริษัท ต้องไปชี้แจงทำความเข้าใจ แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยเมื่อเห็นรายละเอียดต่างๆแล้ว เราไม่คิดว่ามันมีปัญหาอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการและกฎหมาย
เมื่อถามถึงกำหนดการเดินทางกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร ว่า ยังคงเป็นวันที่ 10 สิงหาคมอยู่หรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่มันก็เป็นเรื่องของครอบครัว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเมือง ส่วนทักษิณ และครอบครัวจะตัดสินใจอย่างไร ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ขณะนี้เท่าที่ทราบ เท่าที่ทุกคนรู้ ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ส่วนที่หลายฝ่ายหวั่นใจว่า เสียงจะไม่พอ ขอยืนยันว่า เสียงที่เรามีเพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อเลื่อนการประชุมออกไป ก็มีเวลาทำงานมากขึ้น เพราะการแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่ายยิ่งได้มากก็ยิ่งดี รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และประธานสภากำหนดวาระการประชุม เราก็พร้อมที่จะแถลงข่าวร่วมการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อถามว่า เสียงที่รวบรวมไว้พอจะเปิดเผยได้หรือไม่ว่ามีพรรคใดบ้าง ภูมิธรรม กล่าวว่า รออีกสักหน่อยก็คงดี แต่ก็ยอมรับว่ามีเสียงจาก 8 พรรคร่วมเดิมจำนวนหนึ่งพอสมควร และมีเสียงจากขั้วพรรคร่วมรัฐบาลเดิมฝั่ง 188 เสียง อีกจำนวนหนึ่ง และต้องมีเสียงสว.อีก เนื่องจากเราอยู่ภายใต้วิกฤตการณ์ของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่กำหนดเงื่อนไขว่าต้องได้เสียเกิน 375 เสียง เสียงจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเราอยากให้ได้มั่นคงและมากขึ้นที่สุด เพราะ การมีเสียง สส. เพราะจะทำให้เกิดรัฐบาลที่มั่นคงและมีประสิทธิภาพ รวมถึงกำหนดทิศทางการทำงาน สามารถบริหารทิศทางการทำงานทั้งหมดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยังต้องบวกเสียง สว.อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเราอยากได้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เห็นว่าเราเป็นรัฐบาลที่เข้ามาสามารถกู้วิกฤตได้ ภายใต้ความร่วมมือของทุกฝ่าย ซึ่งก็จะทำให้ความขัดแย้งคลี่คลายลงไป
เมื่อถามว่า ตอนนี้มีรายงานข่าวว่าไม่มีทั้ง 2 ลุงเข้าร่วมรัฐบาล ภูมิธรรม กล่าวว่า รอการตัดสินใจที่ชัดเจน ว่าอะไรเป็นอะไร วันนี้เราพยายามแสวงหาความร่วมมือ แต่เราก็รู้ว่ามีข้อจำกัด และยังข้อที่เป็นปัญหาของประชาชนอยู่เราต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ด้วย
เมื่อถามว่า หากไม่นับรวมเสียง สว.จะต้องหา สส.เพิ่มหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า รอการแถลงรายละเอียด แต่การแสวงหาความร่วมมือ มันแสดงให้เห็นถึงฉันทามติในการจัดตั้งรัฐบาล
ภูมิธรรม ยังชี้แจงถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลมีการระบุว่า ตนไม่ง้อเสียงโหวตจาก พรรคก้าวไกล ยืนยัน ไม่เป็นความจริง ผมได้ชี้แจงไปแล้วว่าการแยกตัวครั้งนี้ เมื่อเรายุติ MOU ถือว่า ทุกฝ่ายเป็นอิสระต่อกัน ส่วนพรรคก้าวไกลจะโหวตหรือไม่โหวตถือเป็นเอกสิทธิ์ สิ่งสำคัญคือเราอยากสร้างมิติทางการเมืองใหม่ เรากับพรรคก้าวไกลสามารถที่จะทำงานการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศเรายินดีที่จะสนับสนุน ไม่จำเป็นที่จะต้องยืนฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล แล้วคัดค้านกันไปตลอด อีกทั้งตนยังยกตัวอย่างเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องการแก้ เพื่อปลดล็อคปัญหาประเทศ ตนพร้อมสนับสนุน และคุณก็ต้องสนับสนุนด้วยเช่นกัน เพราะคิดว่าเป็นปัจจัยร่วม ที่เป็นวาระแห่งชาติ ต้องร่วมกันทำ ส่วนกฎหมายที่ตกลงกันใน MOU ที่ตรงกับนโยบายพรรคเพื่อไทยหรือกฎหมายอื่น ที่ไม่ได้พูดไปใน MOU เราก็ยินดีสนับสนุน แต่ปัญหาที่เราไม่เอาแน่นอน คือ มาตรา 112 เพราะเราปฏิเสธมาตั้งแต่ MOU ครั้งแรก ว่า เราไม่เซ็น แต่พอ MOU ครั้งที่ 2 ก็บรรจุใส่มาอีก เราก็บอกแล้วว่าเราไม่สะดวกใจ ที่จะเซ็น เพราะเราไม่เห็นด้วย และได้ยืนยันไปว่า ถ้ามีเรื่องมาตรา 112 เราไม่โหวตให้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่ดีเราจะโหวตให้ เพราะฉะนั้นเราจึงบอกว่าการตัดสินครั้งนี้ ถ้าจะโหวตให้เราทเราก็ขอบคุณดีใจ แต่ถ้าไม่โหวตเราก็ไม่ถือโทษโกรธใคร ถือเป็นเอกสิทธิ์ ที่พูดทั้งหมดเป็นแบบนี้ เครื่องในที่ประชุมก็มีชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ศิริกัญญา ตันสกุล และพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ทั้งหมดยืนยันในสิ่งที่ตนพูดได้ อันนี้เป็นข้อเท็จจริง
ส่วนที่ชัยธวัช ออกมาระบุว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยบอกให้พรรคก้าวไกล ถอยมาตรา 112 และมีการฉีก MOU ยืนยัน ไม่เป็นความจริง มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ก่อนจะย้ำว่าใน MOU ครั้งแรกเราชัดเจน ถ้ามีมาตรา 112 เราไม่เซ็น และจะขอสงวนสิทธิ์ และไม่ร่วมใน MOU ข้อนั้น จึงได้มีการถอนออกไป ส่วน MOU พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เราก็ใส่มาอีก ซึ่งเราก็ปฏิเสธ เราได้แสดงท่าทีของเรากับพรรคก้าวไกลอย่างชัดเจนมาโดยตลอด ว่า 112 เราไม่เห็นด้วยที่จะไปร่วมเซ็น ส่วนจะไปแก้อะไร ก็ไปทำกัน ถือเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละพรรค อันนี้เราพูดจากันชัดเจน อีกทางพรรคเพื่อไทยที่ได้รับไม้ต่อจากพรรคก้าวไกล ก็ได้พูดคุยกับหลายพรรคการเมือง ซึ่งทุกคนก็ย้ำว่าหากมี 112 ไม่เซ็น ซึ่งก็ได้แจ้งไปทางพรรคก้าวไกลแล้ว ว่าแต่ละพรรคมีความเห็นอย่างไร แต่ถ้าก้าวไกลก็ยังตอบกลับมายืนยันว่า การแก้ไข 112 ไม่ใช่ประเด็น เพราะหากไม่มี 112 ก็มีประเด็นอื่นอีก
เมื่อถามถึงกรณีพรรคก้าวไกล ระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีความกังวล หากพรรคก้าวไกลโหวตให้ สว.บางคน อาจไม่สบายใจ ภูมิธรรม กล่าวว่า เราบอกแล้วว่าถ้าโหวตให้เราก็ขอบคุณและยินดี แต่ถ้าไม่หมดให้ ก็ไม่เป็นไร ถือเป็นเอกสิทธิ์ เพราะตอนนี้เราดำเนินการหาเสียง อย่าถือว่าเราไปกดดัน หากไม่โหวตให้เราเลยก็ได้ เป็นสิ่งที่เราต้องไปแสวงหาความร่วมมือ เป็นการพูดในเงื่อนไขที่สุภาพ และไม่กดดันกัน ถือเป็นสิทธิ์ที่จะเพิ่มหรือลดคะแนนให้กับเรา ก็พูดกันอย่างตรงไปตรงมาชัดเจนที่สุด ไม่มีอะไรเคลือบแฝง
เมื่อถามว่า หากพรรคก้าวไกลไม่โหวตสนับสนุนให้เราก็จะหาคะแนนเสียงจากพรรคร่วมและสว.เป็นหลักใช่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ทุกพรรคที่เข้ามาในสภาตอนนี้ เป็นตัวแทนจากประชาชนที่มีความคิดหลากหลาย เพราะฉะนั้นถ้าเราเดินหน้าไปได้ ประเทศต้องมีความปรองดอง เพราะฉะนั้นการฟังความคิดของทุกพรรคการเมืองของทุกกลุ่ม ก็เป็นเรื่องที่ดี และถ้าเป็นรัฐบาลที่ขึ้นมาจากความยอมรับความคิดที่หลากหลาย ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ไม่ได้บอกว่าจะเอาทุกพรรค ก็อยู่ที่ว่าพรรคไหนจะร่วมกันอย่างไร หรือสังคมได้ความความเข้าใจและเห็นว่าการร่วมมือกันไปสู่ทิศทางใดก็จะเป็นคำตอบ
เมื่อถามถึงกรณี ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแฉการเลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินของเศรษฐา ทวีสิน จะมีผลต่อการพิจารณาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นเรื่องของเศรษฐา ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเดิม ซึ่งก็ทราบว่า ได้มีการแถลงออกมาแล้ว จึงต้องเป็นเรื่องที่นายเศรษฐาและบริษัท ต้องไปชี้แจงทำความเข้าใจ แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยเมื่อเห็นรายละเอียดต่างๆแล้ว เราไม่คิดว่ามันมีปัญหาอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการและกฎหมาย
เมื่อถามถึงกำหนดการเดินทางกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร ว่า ยังคงเป็นวันที่ 10 สิงหาคมอยู่หรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่มันก็เป็นเรื่องของครอบครัว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเมือง ส่วนทักษิณ และครอบครัวจะตัดสินใจอย่างไร ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ขณะนี้เท่าที่ทราบ เท่าที่ทุกคนรู้ ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง