ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งวันนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม มีกำหนดลงพื้นที่ภาคใต้
โดย ภูมิธรรม ระบุว่า เมื่อวาน (6 พ.ค.) ได้พูดอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของรัฐบาล และได้มอบให้ พล.อ.ณัฐพล ลงพื้นที่เพื่อพบปะและให้กำลังใจ และยืนยันจุดยืนของรัฐบาล รวมถึงสำรวจสภาพปัญหาและความต้องการ และประเด็นที่เป็นปัญหา เพื่อนำกลับมาพูดคุยในรายละเอียดและแก้ไขปัญหา
ขณะนี้กำลังพูดคุยกับทุกภาคส่วน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง โดยในช่วงวันหยุดได้เรียก พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 มาพูดคุยถึงปัญหา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ที่ไม่สามารถนำมาเปิดเผยต่อธารกำนัล ตนเข้าใจความห่วงใยของประชาชน และขอให้รอดูผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ แต่ขอระยะเวลาดำเนินการ เพราะหลายเรื่องที่วางแผนยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ก็ได้ดำเนินการมีความคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว เช่น การพบปะพูดคุยกับผู้อำนวยความสะดวกจากประเทศมาเลเซีย ที่ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียมอบหมาย กำลังประสานงานไปยังหลายภาคส่วน ซึ่งหากพูดไปบางทีอาจจะไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ จึงต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่ต้องการให้ผลลัพธ์เช่นนี้เกิดขึ้น เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น เพราะบางครั้งพูดไปก็บานปลายจากข้อเท็จจริง ก็จะมีแต่สร้างปัญหา ตนคิดว่าภายในช่วงเวลาสั้น ๆ จะมีการสรุปแนวคิดต่าง ๆ และเข้าไปดำเนินการ เพราะจากนี้ไปได้มีการวางแผนกระบวนการแก้ไขปัญหาระหว่างช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม คาบเกี่ยวต้นเดือนมิถุนายน
ส่วนที่มีข้อเสนอให้ใช้ “พ.ร.บ.ต่อต้านการก่อการร้าย” เนื่องจากขณะนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีความปลอดภัยและอาจกลายเป็นเป้านิ่งของการก่อเหตุ? ภูมิธรรม กล่าวว่า “ยังไม่มีแนวคิดดังกล่าว ขณะนี้ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่สามารถดูแลได้อยู่แล้ว แต่หากจะปรับเปลี่ยนหรือมีแนวทางการแก้ไขปัญหาในอนาคตอย่างไร ย้ำว่าเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ ต้องมีกลไก มีกฎหมายให้ความมั่นใจกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ขณะนี้ยังไม่ได้มีแนวคิดเรื่องนี้”
เมื่อถามว่าได้มีการเน้นย้ำเรื่องการดูแลความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่มากขึ้นหรือไม่? ภูมิธรรม กล่าวว่า “รัฐบาลได้มีการเน้นย้ำอยู่แล้ว ขณะนี้ได้ให้ผู้บังคับบัญชาไปให้ความมั่นใจ ส่วนที่ระบุว่าให้เจ้าหน้าที่ทำงานเชิงรุกนั้น ไม่ได้หมายถึงให้ออกไปสู้รบหรือเข่นฆ่าผู้ก่อเหตุ แต่การทำงานเชิงรุกไม่ได้นั่งอยู่ที่ตั้ง แต่เป็นการไปตรวจตราด่านต่าง ๆ ให้มากขึ้น ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายอาวุธสงครามได้อย่างง่าย รวมถึงมีการจัดกำลังเข้าไปดูแลหน่วยทหาร ประชาชนทั้งชาวพุทธ ชาวมุสลิมที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ก็มีการจัดกำลังเข้าไปคุ้มครองดูแล ย้ำว่าให้เจ้าหน้าที่ออกจากที่ตั้งมากขึ้น ไม่ให้อยู่กับที่แล้วหย่อนยาน ซึ่งทุกฝ่ายก็มีความเห็นสอดคล้องกัน”
ตั้งแต่ที่ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็มีความชัดเจนในเรื่องของการเปิดปฏิบัติการดำเนินการเชิงรุก ไม่ให้อยู่กับที่ และสิ่งสำคัญขณะนี้คือ ต้องลดการใช้ความรุนแรงให้ได้อย่างเต็มที่ และในวันนี้ผมจะเดินทางไปพบกับ อุดม บุญชม จุฬาราชมนตรี เพื่อพูดคุยในเรื่องการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
‘เครื่องบินรบเมียนมา’ แค่เฉียดชายแดน ยังไม่ล้ำน่านฟ้า
ส่วนกรณีที่กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ขึ้นสกัดอากาศยานไม่ทราบชนิดที่รุกล้ำน่านฟ้าบริเวณ จ.กาญจนบุรี
รมว.กลาโหม ชี้แจงว่า “เรื่องดังกล่าวไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เป็นเครื่องบินของฝั่งข้างบ้านที่บินเฉียดผ่านชายแดนระหว่างทำการขึ้นบิน เมื่อบินอยู่บนอากาศ ก็เข้าใจว่าอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เมื่อบอกเขา, เขาก็ถอยห่างออกไป...ก็จบ...แค่นั้นเอง, กองทัพอากาศก็ได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างแม่นยำและตรงไปตรงมา”
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เป็นการบินล้ำเข้ามาใช่หรือไม่? ภูมิธรรม กล่าวว่า “เป็นการยืนอยู่ที่ขอบชายแดน กองทัพอากาศจึงได้ขึ้นเตือนก่อน เพื่อไม่ต้องการให้มีการรุกล้ำเข้ามา”
เมื่อถามถึงกรณีอากาศยานไร้คนขับ (โดรน UAV) ของกรมแผนที่ทหาร ที่ประชาชนถ่ายภาพวิดีโอไว้ได้? ภูมิธรรม กล่าวว่า “ไม่ต้องลงรายละเอียด เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่ใช่ปัญหารุกล้ำดินแดน ตอนนี้มีการเจรจาจนเข้าใจกันหมดแล้ว”
‘องค์กรปราบทุจริต’ ต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันโลก-ใช้เทคโนโลยีช่วย
ทั้งนี้ ภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการเสวนาเชิงวิชาการ “บทบาทในการดำเนินคดีทุจริตภายใต้แนวนโยบายของรัฐบาลในมิติของปัจจุบันและอนาคตเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน” ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เปิดเผยว่า “ได้ให้แนวทางในที่ประชุมว่า การปราบทุจริตต้องดำเนินการตามหลักการและหลักนิติธรรม และต้องมีการปรับปรุงการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ให้เท่าทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ และคนของหน่วยงานต้องมีคุณธรรม แม้จะมีการคัดเลือก แต่ก็ต้องมีการอบรมและพัฒนาศักยภาพ เพื่อปรับปรุงระบบให้รวดเร็วและทันสมัย ซึ่งตนเชื่อว่าระบบตรวจสอบจะดีขึ้น”
เรื่องนี้เป็นปัญหาในสังคมไทยมายาวนาน ประชาชนรู้สึกอึดอัด เพราะระบบและระเบียบเอื้อให้เกิดการทุจริต ดังนั้นจึงมีความพยายามในการแก้กฎระเบียบ เพื่อไม่ให้เอื้อต่อการทุจริต ในอนาคตต้องทำเรื่องนี้ให้ชัด ทำให้ประชาชนรู้สึกได้
ยํ้ารัฐบาลจริงจังสอบ ‘ตึก สตง.ถล่ม’ ยันเร่งนําคนผิดมาลงโทษ
ส่วนเมื่อถามถึงกรณีอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ทำให้ประชาชนตั้งข้อสงสัยถึงปัญหาการทุจริต? ภูมิธรรม กล่าวว่า “สตง. เป็นหน่วยงานหลักในการติดตามตรวจสอบการกระทำทุกส่วน หรือโครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมา แต่เมื่อเกิดกรณีขึ้นมา ซึ่งหมายถึงความบกพร่องที่เกิดขึ้นในหลายขั้นตอน ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการซื้อวัสดุก่อสร้าง หรือการบริหารต่าง ๆ ขณะนี้ยังพูดไม่ได้ว่าใครเป็นผู้มีปัญหา อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ต้องมีการนำเข้าสู่กระบวนการโดยเร็วในการนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ ยอมรับว่าในการพิสูจน์วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เรื่องนี้ไม่ง่าย”
นายกรัฐมนตรีได้กำชับว่า ให้นำคนผิดมาลงโทษให้ได้ และเราต้องระมัดระวังไม่ให้คนบริสุทธิ์กลายเป็นจำเลยในเรื่องนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลจริงจังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และทราบดีว่าวันนี้ประชาชนคลางแคลงใจและตั้งคำถาม หน้าที่ของเราคือทำให้ข้อเท็จจริงปรากฏให้ได้ เพราะมันคลุมเครือ ทั้งหน่วยงานของรัฐและรัฐบาลต้องนำความจริงมาตรวจสอบ
เมื่อถามว่า ประชาชนตั้งข้อสังเกตถึงงบประมาณที่นำไปสร้างอาคารของหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์? ภูมิธรรม กล่าวว่า “เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่อยากให้กังวลจนกระทั่งเกิดปัญหาไปทั่ว ก็ว่าไปตามกรณี ขณะนี้ให้ผู้มีหน้าที่วางมาตรการเพื่อดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว”