803 กิโลเมตร คือความยาวตลอดแนวพรมแดน ‘ไทย - กัมพูชา’ ในจำนวนนี้ราวๆ 30 ตารางกิโลเมตร ยังเป็นข้อถกเถียงถามหา ‘เจ้าของโดยแท้จริง’ อยู่ แม้จะเป็นปัญหาระหว่าง ‘รัฐต่อรัฐ’ ในทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่กระแสความบาดหมางเริ่มมีทิศทางที่สูงขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะกับกลุ่ม ‘ชาตินิยม’ ที่แสดงความเห็นเชิง ‘อาฆาตมาดร้าย’ ต่อมนุษย์ด้วยกันทั้ง 2 ชาติ
ผมเลือกจะพับแผนที่สากล แล้วจับเข่าพูดคุยกับ ‘เพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง’ ในห้องขนาดไม่เกิน 20 ตารางเมตร เพื่อหามุมมองที่จะนำไปสู่ทางออกอันยิ่งใหญ่ นั่นคือหนทางแห่ง ‘สันติภาพ’

‘กีม เทีย’ (Kim Thea) เครือข่ายแรงงานชาวกัมพูชา วัย 50 ปี ยินดีให้เดินทางไปหาที่ห้องพักในอพาตเมนต์เล็กๆ ย่านนวนคร ทันทีหลัง หลังผมพยายามประสานหาแหล่งข่าวชาวกัมพูชา เพื่อถกถามปุจฉาและหาแง่คิดเรื่องชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งแบบชาตินิยม
ดั้งเดิมของ ‘กีม’ อาศัยอยู่ใน ‘ตาแก้ว’ จังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ ประเทศกัมพูชา พ่อแม่ของเธอเป็นชาวเขมร ที่แยกกันอยู่มาตั้งแต่เด็กเนื่องจากภาวะ ‘สงครามกลางเมือง’ ยุค ‘เขมรแดง’ แม่ของเธอลี้ภัยจากพื้นที่ความขัดแย้ง - เข้ามาทำงานที่จังหวัดตราด ในประเทศไทย จนกระทั่งได้รับสัญชาติไทย อย่างถูกกฎหมาย
หญิงชาวกัมพูชา เล่าให้ฟังว่า ในภาวะที่การเมืองภายในเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เป็นเรื่องปกติของชาวกัมพูชาหลายคนพยายาม ที่จะ ‘หาโอกาส’ เพื่อ ‘ครอบครัว’ แม้จะต้องจากมาตุภูมิเพื่อ ‘หางาน’

แม้ในภาวะที่การเมืองเริ่มนิ่ง นำไปสู่การก่อร่างสร้างประเทศ ‘กีม’ ก็เป็นอีกหนึ่งคน ที่ตัดสินใจเดินทางไกล เข้ามาเป็น ‘แรงงานข้ามชาติ’ อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้านี้เธอเคยเป็นแรงงานอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ก่อนจะตัดสินใจมาอยู่ที่ประเทศไทย ในห้วงที่การขยายตัวของอุตสาหกรรมเริ่มเพิ่มขึ้น
“การที่พี่ต้องไปทำงานประเทศอื่น เพราะอยากนำรายได้กลับมาพัฒนาประเทศของตัวเอง อยากเห็นว่าเขาเป็นยังไง ทำยังไงถึงเจริญขึ้น ไปทำงานก็เจอแต่เถ้าแก่ดีๆ ตลอด แล้วเราก็ไปแบบถูกกฎหมายด้วย ใครมีอะไรให้ช่วยเหลือก็ทำ ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง”
— กีม อธิบาย
‘กิม เทีย’ เข้ามาทำอาชีพค้าแรงงานในไทยเป็นเวลากว่า 12 ปี แล้ว โดยเริ่มจากการเป็นพนักงานภาคอุตสาหกรรมโรงงานสัญชาติญี่ปุ่นอยู่ 2 แห่ง ก่อนจะตกงานเพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และเริ่มต้นใหม่กับงานที่ร้านสะดวกซื้อชุมชนแถวหอพัก
ช่วงที่มาใหม่ๆ เธอพยายามศึกษาภาษาไทย และทำงานร่วมกับเครือข่ายแรงงานข้ามชาติ เพื่อผลักดันสิทธิแรงงาน และการช่วยเหลือพี่น้องข้ามชาติ ผ่านกลไกที่จะสามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีเหตุผลจากภาพจำความลำบากในอดีต สมัยสงครามภายในประเทศ
“ที่สนใจเรื่องสหภาพแรงงานและสิทธิมนุษยชน เพราะตอนเด็กๆ เราเคยเห็นภาพการใช้ความรุนแรงสมัยสงครามกลางเมือง (ยุคเขมรแดง) เราจึงอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มาถึงตอนนี้เราก็ช่วยเหลือพี่น้องได้เยอะ โดยเฉพาะเรื่องการช่วยเหลือให้พวกเขาได้มาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย”
อัตรารายได้ของลูกจ้างข้ามชาติ ประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในต่างแดนอย่างพออยู่พอกิน และสามารถส่งเสียเงินให้กับทางบ้านได้บ้างโอกาสสำคัญ หรือยามฉุกเฉิน ซึ่งแตกต่างกับค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศกัมพูชา ที่ปัจจุบันได้อยู่ประมาณ 9,000 บาทไทย

สิ่งที่ทำให้ทราบทันทีว่าที่ห้องพักแห่งนี้ คือ ‘บ้าน’ ของแรงงานข้ามชาติที่อบอุ่น คือ ‘พระพุทธรูป’ ที่ ‘กีม’ บอกว่าได้จากบิดา ซึ่งเป็นตัวแทนครอบครัว เสมือนได้อยู่ใกล้ญาติพี่น้อง
ภายในห้อง มีสิ่งต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นชาวกัมพูชาได้อย่างชัดเจน คือ ‘ธงประจำชาติ - ผ้าขาวม้าท้องถิ่น’ และ ‘บทสวดที่ลงอักขระเขมร’ เจ้าของห้องบอกเล่าเพิ่มเติมว่า เป็นบทสวดทางพุทธ ที่พูดถึงเรื่องความเมตตา ซึ่งเธอมักจะใช้สวดท่องเสมอยามคิดถึงบ้าน หรือภาวะที่เผชิญกับภาพจำอันเลวร้าย ตามกรอบทำเนียมของสงคราม ที่มักกลับมาหลอกหลอนผู้ผ่านเหตุการณ์มาโดยตรง
“ตอนเด็กน้อยพี่จำได้ดี โดยเฉพาะช่วงสงครามกลางเมือง บางทีเราเห็นคนถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา มีเสียงระเบิดดังก้อง จนต้องเอามืออุดหู วิ่งไปหาที่ซ่อนตัวหลบภัย อีกทั้งการกดขี่อย่างไร้มนุษยธรรม ชนิดต่างๆ มันคือสิ่งที่ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่หวาดกลัว และไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก”
— กีม เริ่มกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

แววตาหวาดกลัวและเสียงสั่นเครือ เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่า ‘สงคราม’ คือ สิ่งที่ ‘ชาวกัมพูชา’ ส่วนใหญ่ไม่พึงปรารถนา แม้ปัจจุบันทุกอย่างจะยุติลงแล้ว แต่การใช้ ‘ความรุนแรง’ ยังคงเป็นสิ่งที่ฝังใจ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องราวชายแดน ที่ส่งทอดความบาดหมางให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
ระหว่างนั้น เธอหันหน้าเข้าหิ้งพระเล็กๆ ก่อนยกมือพนมแบบชาวพุทธ และพึมพำกับตัวออกมาเป็นภาษาไทย ทำนองว่า ขอให้ทั้งรัฐบาลไทย และกัมพูชา ใช้เหตุผลคุยกัน และทำข้อตกลงด้วยแนวทางแห่งสันติ อย่าให้ต้องรบราฆ่าฟันกันอีกเลย

ผมจึงถามต่อทันทีว่า ในภาวะความขัดแย้งเชิงความคิดเช่นนี้ ‘กีม’ ในฐานะแรงงานกัมพูชา ที่มาอาศัยทำกินในประเทศไทย มองสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร เธอหันมา และตอบคำถามโดยไม่ละมือออกจากท่าพนม บอกว่า
“คนไทยใจดีและมีเหตุผล สำหรับกรณีพิพาทชายแดนพี่ก็ไม่ได้อยู่ข้างใคร เพราะพี่มองว่ากัมพูชาเปรียบเหมือนพ่อ ไทยเปรียบเหมือนแม่ ไม่มีใครอยากเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน พี่รักทั้งสองประเทศ เพราะอีกที่คือถิ่นกำเนิด อีกที่คือแหล่งพักพิงได้ทำมาหากิน”
ในโลกที่ถูกขีดแบ่งด้วยเส้นบนแผนที่ บางครั้งคำตอบของความขัดแย้งอาจไม่ได้อยู่ในห้องเจรจาทางการทูตเสมอไป แต่อยู่ในห้องพักขนาด 20 ตารางเมตรของหญิงแรงงานคนหนึ่ง ที่ยังเชื่อมั่นในความเมตตาของมนุษย์ และหวังว่ารอยร้าวทางภูมิรัฐศาสตร์จะสมานได้ด้วยหัวใจที่ไม่แบ่งแยกสัญชาติ...
